คำทำนายโลกแตกของหมอดูจะเกิดขึ้นจริงในอนาคตหรือเปล่า?

ซึ่งเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เราตั้งใจที่จะเขียนเป็นบทความมานานมากและก็สนใจจะเขียนตั้งนานแล้ว  คำทำนายโลกแตกของหมอดู  แต่ประเด็นก็คือด้วยเนื้อหาที่มันค่อนข้างใหญ่เนื้อหาที่มันค่อนข้างที่จะลึกมากพอสมควรแล้วเรื่องของการทำลายโลกมันก็ไม่ได้มีเพียงแค่บุคคลเดียวหรือสองบุคคลที่ทำนายเกี่ยวกับอนาคตของโลกว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันมีสามสี่ห้าคนหรือมันอาจจะมากกว่านั้นเลย

โดยเราได้ทำการรวบรวมและได้ทำการสรุปเอามาเป็นที่เรียบร้อยแล้วแต่ที่จริงแล้วมันอาจจะมีมากกว่านี้ถ้าข้อมูลในเนื้อหานี้มีข้อตกล่นลงไปเราก็ขออภัยไว้ในนี้ก่อนเลยแล้วกัน

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องของเราทำนายดวงชะตาของการดูดวงเป็นอะไรที่คอนข้างที่จะฮิตแล้วก้มีคนสนใจกันพอสมควรไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการดูดวงส่วนตัวการดูดวงการงานการเงินหรือแม้แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่าเราจะเกิดอะไรบ้างหรือเราต้องระวังในเรื่องไหนบ้าง

นอกจากนี้หลายๆคนก็อยากจะรู้เพื่อเป็นแนวทางในการใช้ชีวิตหรือเป็นกำลังใจในการใช้ชีวิตแต่อยากจะบอกว่าก็มีอยู่ไม่น้อยคนเลยที่อยากาจะรู้ว่าในอนาคตโลกของเราจะเกิดอะไรขึ้นบ้างและจุดจบของโลกของเราจะเป็นอย่างไง

ดังนั้นเรื่องของการทำนายอนาคตของโลกเราและสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นบนโลกของเราจริงๆแล้วมันได้มีมาตั้งแต่ในสมัยยุคโบราณในตำนานและละตำนานหรือการทำนายแต่ละที่ก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปบ้างก็ว่าวันสิ้นสุดของโลกจะถูกอุกกาบาตชนบางที่ก็ว่าจะเกิดแผ่นไหวแล้วโลกจะเกิดการปะทุจากข้างในหรือบ้างก็ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกเข้ามาโจมตีโลกเราก็มีอยู่เหมือนกัน

ซึ่งในการทำนายอนาคตของโลกเราเหล่านี้ถ้าเอาที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เราได้ไปหาข้อมูลมาได้เลยก็คงจะไม่พ้นเรื่องของคัมภีร์ไบเบิ้ลแต่ถ้าเอาสิ่งที่คนในปัจจุบันสนใจกันมาที่สุดและคนพูดถึงกันมาที่สุดก็คงจะเป้นคำทำนายของ “ นอสตราดามุส “ กับ คำทำนายของ “ คุณยาย บาบา วานกา “ 

เพราะฉะนั้นแล้วทั้งสองบุคคลนี้คือบุคคลที่ถูกพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องของการทำนายโลกเอาไว้มากที่สุดในปัจจุบันเพราะว่าทั้งสองคนนี้มีการทำนายสิ่งต่างที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเหตุในโลกหรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นนอกโลกหรืออะไรก็แล้วแต่และปรากฏว่าในเวลาต่อมาหลังจากที่พวกเขานั้นเสียชีวิตไปแล้วหรือพวกเขายังมีชีวิตอยู่มันได้เกิดขึ้นจริงๆอย่างที่พวกเขาได้ทำนายกันเอาไว้

 

สนับสนุนโดย.  สูตร ยี่กีเข้าทุกรอบ

ประวัติวัดบางกุ้ง จังหวัดสมุทรสงคราม 

         หากใครเคยเดินทางมาเที่ยวที่จังหวัดสมุทรสงครามเชื่อว่าคงเคยได้ยินชื่อวัดบางกุ้งกันมาบ้าง ประวัติวัดบางกุ้ง โดยวัดแห่งนี้นั้นอยู่ไม่ไกลจากตลาดอัมพวามากนักดังนั้นเชื่อว่าใครที่เคยเดินทางมาเที่ยวที่ตลาดอัมพวาย่อมต้องเคยแวะมาไหว้พระที่วัดบางกุ้งอย่างแน่นอนเนื่องจากว่าวัดแห่งนี้นั้นมีชื่อเสียงโด่งดังเกี่ยวกับ พระพุทธรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์นั่นก็คือหลวงพ่อดำนั่นเอง

        นอกจากนี้วัดแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสงครามเพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแนว unseen ที่หาดูได้ยากจากที่อื่นเพราะที่นี่จะมีโบสถ์อยู่บทหนึ่ง  ประวัติวัดบางกุ้ง ซึ่งมีความแปลกแตกต่างจากบทอื่นๆด้วยบทนี้มีชื่อว่าโบสถ์ปรกโพธิ์ความแตกต่างของโบสถ์นี้นั่นก็คือจะมีต้นไม้ขึ้นอยู่รอบโบสถ์แห่งนี้และต้นไม้ที่ขึ้นนั้นก็เป็นต้นไม้คนละสายพันธุ์กันด้วยต้นไม้ทั้ง 4 ต้นนั้นจะขึ้นล้อมรอบตัวโบสถ์และรากของต้นไม้ก็ห่อหุ้มตัวบทเอาไว้ทำให้ชาวบ้านอยากจะมาเห็นด้วยตาตนเอง

           อย่างไรก็ตามสำหรับประวัติความเป็นมาของวัดบางกุ้งแห่งนี้นั้นว่ากันว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่สมัยในช่วงของกรุงศรีอยุธยาตอนปลายซึ่งมีการคาดการณ์กันว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วงประมาณพ.ศ 2308   โดยในสมัยนั้นยังไม่มีวัดบางกุ้งขึ้นมาช่วงนั้นเป็นช่วงที่ไทยกับพม่าได้มีการรบกันอยู่บ่อยครั้งและเป็นช่วงที่พม่านำกองกำลังทหารเข้ามาโจมตีล้อมกรุงศรีอยุธยาซึ่งในสมัยนั้นตรงกับการปกครองของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ทำให้พระองค์นั้นได้สั่งให้ทหารย้ายกองทัพมาตั้งค่ายที่ตำบลบางกุ้ง

           โดยจุดที่มาตั้งค่ายใหม่นั้นอยู่ตรงบริเวณวัดบางกุ้งซึ่งมีการสร้างกำแพงล้อมรอบวัดเอาไว้  อย่างไรก็ตามด้วยกองกำลังพม่านั้นมีมากจนเกินไปกองกำลังทหารของไทยนั้นไม่สามารถที่จะต่อสู้ได้ที่สำคัญกองกำลังพม่านั้นมีการยกทัพมาทางแม่น้ำแม่กลองหลังจากนั้นเมื่อมาถึงค่ายของทหารไทยก็บุกทลายค่ายของทหารไทยจนในที่สุดขายตรงบริเวณบางกุ้งก็ไม่สามารถที่จะต้านทานข้าศึกเอาไว้ได้ทำให้ค่ายที่บางกุ้งนั้นแต่ทหารพม่าจึงสามารถเข้ามาโจมตีกรุงศรีอยุธยาได้และในที่สุดกรุงศรีอยุธยาก็แตกและค่ายบางกุ้งก็กลายเป็นค่ายร้างนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

            อย่างไรก็ตามหลังจากที่มีการสิ้นสุดสงครามแล้วและพระเจ้าตากสินได้มีการกอบกู้เอกราชพระองค์ก็ได้มีการสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานีและพระองค์ยังให้ทหารมาบูรณะซ่อมแซมค่ายที่บางกุ้งและให้ทหารมาประจำอยู่ที่ค่ายแห่งนี้รวมถึงได้มีการชักชวนชาวจีนที่เคยเป็นอาสาสมัครช่วยรบกับพม่ามาอยู่ที่ค่ายบางกุ้งแห่งนี้ด้วยดังนั้นหลังจากนั้นเป็นต้นมาขายที่นี่จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าค่ายจีนบางกุ้งนั่นเอง 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย.  หวยออนไลน์บาทละ 1000

ต้นกำเนิดความเชื่อเกี่ยวกับคำว่า ยาซุ่ยเฉียน ที่มักจะเขียนเอาไว้ที่ซองอั๋งเปา

          สำหรับคำว่า ยาซุ่ยเฉียน นั้น เป็นคำที่เป็นภาษาจีนเบอร์ความหมายของคำคำนี้นั้นหมายถึงการขับไล่วิญญาณที่ชั่วร้ายด้วยเงิน  ซึ่งปัจจุบันนั้นเราจะมักจะเห็นคำคำนี้อยู่ในซองสีแดงหรือไม่ก็จะถูกเขียนไว้ในกระดาษซึ่งเป็นกระดาษสีแดง  แต่เดิมนั้นคำว่า  ยาซุ่ยเฉียน มีความหมายอีกแบบนึงนั่นก็คือหมายถึงการปัดเป่าเกี่ยวกับโรคชราด้วยเงิน  

       อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปความหมายของคำว่ายาซุ่ยเฉียน สิ่งใดมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่เป็นการปัดเป่าเรื่องของความชราภาพก็กลายมาเป็นการปัดเป่าพวกวิญญาณร้ายแทนและซองที่สำหรับใส่เงินอังเปาโดยปกติจะยึดมั่นเฉพาะที่เป็นซองสีแดงแต่ด้วยสมัยนิยมผันเปลี่ยนดังนั้นซองอังเปาจึงมีหลากหลายสีสันมากขึ้นแต่ก็ยังอิงสีที่เป็นมงคลนั่นเองไม่ว่าจะเป็นสีเหลืองซึ่งมองแล้วคล้ายกับสีทองหรือแม้แต่สีชมพูหรือสีส้มก็ตาม

        สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องของการให้อั่งเปาและความเชื่อเกี่ยวกับคำว่า ยาซุ่ยเฉียน ที่มักจะถูกเขียนไว้บนซองอั่งเปานั้นว่ากันว่ามีตำนานที่เล่าขานถึงความเชื่อนี้เกิดขึ้นในสมัยอดีตกาลโดยระบุว่าในสมัยก่อนนั้นคนจีนมักเชื่อว่าในโลกมนุษย์นั้นจะมีสิ่งชั่วร้ายอยู่ซึ่งสิ่งชั่วร้ายนั้นมีชื่อ ซุ่ย  มันมักจะออกอาละวาดทำร้ายเด็ก

        ซึ่งมันจะมีลักษณะเป็นสีดำมืดและมักจะออกอาละวาดในช่วงคืนส่งท้ายปีเก่าของคนจีนโดยวิธีการที่มันมาทำร้ายเด็กๆนั่นก็คือมันจะเอามือมาแตะที่หัวของเด็กพี่กำลังนอนหลับซึ่งถ้าเด็กคนไหนโดนเจ้าปีศาจที่ชื่อว่า ชุ่ย แตะหัวถึง 3 ครั้งด้วยกันเด็กคนนั้นก็จะล้มป่วยและเสียชีวิต 

        ดังนั้นชาวจีนจึงพากันหวาดกลัวเจ้าปีศาจร้ายตัวนี้มากโดยมีอยู่วันหนึ่งได้มีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งได้ไปร้องขอให้เทพเจ้านั้นช่วยคุ้มครองลูกของพวกเขาด้วยเมื่อพระเจ้าได้ยินคำร้องขอของสามีภรรยาคู่นี้ก็ได้ส่งนางฟ้ามาทั้งหมด 8 องค์ด้วยกันเพื่อให้นางฟ้านั้นมาช่วยเหลือสามีภรรยาคู่นี้ดังนั้นนางฟ้าทั้ง 8 องค์จึงได้มีการแปลงร่างเป็นเหรียญ  โดยเหรียญทั้ง 8 เหรียญนั้นถูกห่อหุ้มด้วยกระดาษสีแดงแล้วมอบให้สามีภรรยานำไปเอาไว้ใต้หมอนของลูกของพวกเขา

         หลังจากนั้นพอตกช่วงเวลากลางคืนปีศาจร้ายก็มาหาเด็กชายคนดังกล่าวทันทีแต่ไม่สามารถที่จะทำอันตรายเด็กคนดังกล่าวได้เพราะหลังจากที่เข้าใกล้เด็กปุ๊บก็จะมีแสงสีทองพุ่งเข้าใส่ปีศาจร้ายทันทีทำให้ปีศาจต้องหลบหนีเพราะว่าหวาดกลัวซึ่งแสงนั้นพุ่งออกมาจากเหรียญที่ห่อหุ้มจากกระดาษสีแดงนั่นเอง 

        วันรุ่งขึ้นเรื่องราวดังกล่าวก็ถูกเล่าขานกันไปทั่วทั้งหมู่บ้านทำให้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชาวบ้านจึงได้ไปขอพรเทพเจ้าให้ช่วยเหลือแล้วนำเหรียญมาใส่ไว้ในซองสีแดงแล้วนำมาไว้ใต้หมอนเพื่อเป็นการป้องกันปีศาจร้ายซึ่งปัจจุบันก็เป็นการเปลี่ยนเป็นการนำเงินใส่ซองสีแดงถือว่าเป็นการให้อั่งเปาและถือว่าเป็นการป้องกันปีศาจร้ายให้กับเด็กๆนั่นเอง 

 

สนับสนุนโดย.    เว็บหวย ไม่อั้น จ่ายเต็ม

ตำนานความร้ายกาจของเมดูซ่า 

                หลังจากที่เทพีอาเธน่าได้สาบผมของเมดูซ่าให้กลายเป็นงู และผิวพรรณของเธอที่เคยสวยงามก็แตกระแหงกลายเป็นลายงูไปหน้าที่เคยสวยสดงดงามก็กลับแย่ลง  เรียกได้ว่าใครที่เห็นเธอในช่วงที่เธอถูกสาปนั้นจะต้องรู้สึกแข็งกลายเป็นหิน

เพราะความน่าเกลียดน่ากลัวของรูปร่างหน้าตาของเธอนั่นเองและขณะที่เธอถูกเทพีอาเธน่าสาปนั้นเป็นช่วงที่เธอกลายร่างเธอต้องทนทุกข์ทรมานจากการแปรสภาพของร่างกายของเธออย่างมาก ในตำนานกล่าวว่าสาเหตุที่นางเมดูซ่ามองใครแล้วกลายเป็นหินนั้นก็เพราะว่า เป็นคำสาปของเทพีอธีน่าที่มีการสาปเมดูซ่าไว้ว่า

                   ถ้าเกิดเธอได้มองใครก็ให้บุคคลนั้นกลายเป็นหินเพื่อที่จะได้ไม่สามารถมองใครได้ต่อไปอีกเลย และนับตั้งแต่เมดูซ่าถูกเทพีอาเธน่าสาปให้มีรูปร่างเป็นงูเธอก็แอบหลบหนีผู้คนไปอยู่สถานที่ที่ห่างไกลไม่มีคนเดินทางไปถึงก็ต้องการหลบหน้าผู้คนนั้นเอง  

และถึงแม้ว่าเมดูซ่าจะหลบหลีกผู้คนไปมากแค่ไหนแต่ว่าเรื่องราวของเธอสมัยที่เธอก่อนที่จะถูกสาปนั้นว่าเธอนั้นมีความงดงามมากเพียงใดก็ยังมีการเล่าลือกันไปทั่วซึ่งผู้คนเหล่านั้นก็พากันออกติดตามหาเมดูซ่าเพื่อหวังจะได้เห็นโฉมหน้าอันสวยงามของเธอ

                 และนี่เองคือตำนานที่มีการพูดถึงความร้ายกาจของไปดูซ่าเมื่อบุรุษหลายคนต่างก็พยายามไปค้นหาว่าไปดูซ่าอยู่ที่ไหนเพื่อที่ต้องการจะได้เห็นโฉมหน้าของเธอว่าเธอสวยงามเพียงใดและเมื่อได้ไปเห็นผู้คนต่างก็ตกใจกลัวกับหน้าตาของเมดูซ่า

และเมื่อมีการต้องมองก็มีอาการแข็งเป็นรูปปั้นทำให้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผู้คนต่างก็เริ่มหรือว่า เมดูซ่านั้นชั่วร้ายและน่ากลัว  และนี่เองคือสาเหตุที่ทำให้เรื่องราวของ เมดูซ่า กลายเป็นเรื่องราวของปีศาจร้ายทั้งๆที่ตัวเองนั้นเป็นฝ่ายถูกกระทำมาตั้งแต่ต้น

     หากจะมองในมุมกลับกันแล้วจะเห็นได้ว่าอันที่จริงแล้วตั้งแต่เมนูซ่าเป็นมนุษย์ธรรมดาก็ถูกเทพรังแกมาโดยตลอดและเมื่อถูกสาปให้กลายเป็นงูน่าเกลียดน่ากลัวเมื่อเธอไปหลบซ่อนตัวก็ยังมีผู้คนตามหาเธอทั้งๆที่เธอไม่ได้ออกอาละวาดเห็นภาพผู้คนแต่อย่างใด

แต่พอมีการสบตาเธอแล้วแข็งกลายเป็นหินก็มากล่าวหาว่าเธอนั้นเป็นปีศาจร้ายเห็นค่าผู้คนทั้งๆที่จริงแล้วผู้คนเหล่านั้นต่างก็พากันตามหาเธอเอง  ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าตำนานของเมดูซ่าที่กล่าวว่าเธอเป็นปีศาจร้ายนั้นไม่เป็นความจริงเพราะจริงๆแล้วนับตั้งแต่ต้นจนจบเธอคือหญิงสาวผู้อาภัพที่ถูกกระทำมาโดยตลอด

 

สนับสนุนโดย.    ซื้อหวยออนไลน์ เว็บไหนดี

ตำนานพันท้ายนรสิงห์  

              ที่จังหวัดสมุทรสาครนั้น จะมีศาลที่ประชาชนให้ความเคารพนับถือกันมาก โดยศาลดังกล่าวนั้นมีอายุเก่าแก่มานานกว่า 60 ปี และตรงบริเวณที่ตั้งของศาลนั้นก็มีพื้นที่มากกว่าหนึ่งร้อยไร่   สำหรับศาลที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ก็คือ ศาลพันท้ายนรสิงห์นั่นเอง 

          ตามความเชื่อของคนในสมัยก่อน และมีการบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานของประวัติศาสต์ของไทยนั้นมีการระบุว่า เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยตามตำนานมีการเล่าเกี่ยวกับประวัติของพันท้ายนรสิงห์เอาไว้ว่า  ในสมัยก่อนนั้นขณะที่ สมเด็จพระเจ้าเสือเสด็จประพาสปากน้ำสาครบุรี

          ซึ่งปัจจุบันนั่นก็คือคลองโคกขาม นั่นเอง ซึ่งในขณะนั้นมีพันท้ายนรสิงห์ เป็นคนคัดท้ายเรือซึ่งในสมัยก่อนนั้นคลองโคกขามนั้นมีความคดเคี้ยวเป็นอย่างมาก และน้ำในคลองก็มีการไหลเชี่ยวมากเช่นเดียวกัน  ทำให้พันท้ายนรสิงห์ซึ่งเป็นทหารที่คอยคัดท้ายเรือนั้นไม่สามารถที่จะคัดท้ายเรือได้ทัน 

      และจังหวะนั้นเองทำให้หัวเรือไปชมเท่ากับกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาในคลองทำให้หัวเรือหักและตกลงน้ำ  ซึ่งแน่นอนว่าการที่พันท้ายนรสิงห์ไม่สามารถคัดท้ายเรือได้ทันนั้นถือว่าเป็นความผิดอย่างใหญ่หลวงในสมัยก่อนนั้นดังนั้นโทษฐานที่เขาจะได้รับก็คือการถูกประหารชีวิตนั่นเอง

            ซึ่งพันท้ายนรสิงห์เองก็รู้ตัวดีว่าโทษในครั้งนี้มีความผิดอย่างใหญ่หลวงเมื่อขึ้นมาบนฝั่งพันท้ายนรสิงห์จึงได้ไปขอรับผิดกับองค์พระเจ้าเสือด้วยการขอให้สั่งประหารชีวิตตนเองซึ่งอันที่จริงแล้วในตอนนั้นพระเจ้าเสือก็ทราบดีอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่ความผิดของพันท้ายนรสิงห์เพราะมันเป็นเหตุสุดวิสัยเนื่องจากว่าน้ำไหลแรงและเชี่ยวกราดที่สำคัญมันมีความคดโค้งมากซึ่งพระองค์รู้ดีว่าหากใครมาทำตำแหน่งนั้นก็คงจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นเช่นเดียวกัน

             ดังนั้นพระเจ้าเสือจึงไม่ได้สั่งประหารชีวิตพันท้ายนรสิงห์  แต่ตัวของพันท้ายนรสิงห์เองเห็นว่า  กฎมณเฑียรบาลมีการระบุเอาไว้อย่างนั้นอยู่แล้วว่าถ้าใครทำหัวเรือหักจะต้องถูกประหารชีวิตดังนั้นพันท้ายนรสิงห์จึงยืนยันที่จะให้พระเจ้าเสือสั่งประหารชีวิตตนเอง ซึ่งองค์พระเจ้าเสือก็ได้มีการสั่งให้ทหารคนอื่นๆนั้นไปนำดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปร่างของคนหลังจากนั้นก็ให้ทหารตัดศีรษะของดินเหนียวและบอกว่านี่คือศีรษะของคนที่ทำหัวเรือหักหลังจากนั้นพระเจ้าเสือก็สั่งให้พันท้ายนรสิงห์กับลงไปในเรือเพื่อคัดท้ายเรือเหมือนเดิม

               แต่ทางด้านพันท้ายนรสิงห์ก็ยืนยันที่จะให้พระเจ้าเสือสั่งประหารชีวิตของตนเองเพราะไม่อยากให้พระเจ้าเสือนั้นต้องทำผิดกฎมณเฑียรบาลดังนั้นพระเจ้าเสือจนใจด้วยไม่รู้จะทำเช่นไรกับพันท้ายนรสิงห์ในที่สุดจึงได้สั่งประหารชีวิตพันท้ายนรสิงห์ตามที่พันท้ายนรสิงห์ได้ส่งขอหลังจากนั้นก็มีการพูดถึงเรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์นับตั้งแต่นั้นสืบมาถึงความซื่อสัตย์สุจริตของเขานั่นเองจนในปัจจุบันนี้ได้มีกรมศิลปากรมาสร้างศาลพันท้ายนรสิงห์ไว้ที่จังหวัดสมุทรสาครและกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสมุทรสาครจนถึงปัจจุบัน

 

สนับสนุนโดย  สูตรหวยยี่กี ruay

การค้นพบซาก ฮอบบิท

เคยคิดกันหรือไม่สิ่งที่มีชีวิตโบราณที่เขาได้เอามาเล่ากันในตำนานเขาไปเอาความคิดมากจากไหนจะเป็นไปได้ไหมว่าคนสมัยก่อนเขาเห็นอะไรที่เราทุกวันนี้ไม่ค่อยได้เห็นกันวันนี้เราก็จะมาเล่าเรื่องราวของสัตว์ประหลาดในตำนานที่มีการค้นพบว่ามีหลักฐานว่ามันมีจริงอยู่บนโลกและหนึ่งในเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตที่จะเอามาเล่ากันในวันนี้ว่ากันว่ามันได้เกิดขึ้นจริงได้

ซึ่งมนุษย์เราก็ได้เตรียมกับการรับมือของมันอยู่เอาเป็นว่าเรามาดูกันเลยว่ามันเป็นตัวอะไรที่ไม่มีสอนกันในห้องเรียนในวันนี้ตัวแรกก็คือ ฮอบบิท สิ่งที่มันมีชีวิตประหลาดหน้าตาคล้านมนุษย์แต่ว่ามีตัวเล็กมากและมีอายุยืนมากที่สุดเลยเชื่อว่าใครหลายๆคนก้อาจจะรู้จักกับเจ้าฮอบบิทครั้งแรกจากนิวนิยามเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงของนักเขียนอัจฉริยะแต่เชื่อหรือไม่เรื่องที่ดูเหมือนกับนวนิยายนี้มันอาจจะมีประเด็นความจริงอยู่เบี้องหลังเพราะว่าปี2013

โดยเขาได้ค้นพบสิ่งที่แปลกประหลาดเกาะฟลอเรสที่อินโดนีเซียสิ่งที่พบนั้นได้เป็นกระโหลกของหญิงวัยเจริญพันธ์แต่ว่ากระโหลกนั้นมันกลับมีขนาดที่เล็กกว่ากระโหลกมนุษย์คนเราถึงสามเท่าเลยเมื่อได้นำเอาทั้งหมดมาประกอบกันแล้วนั้นก็พบว่าเจ้าของร่างนั้นมีความสูงเพียงแค่หนึ่งเมตรเท่านั้นเองทีนี่เขาก็คิดกันไปแล้วว่าร่างของคนนี้อาจจะเป็นพวกคนแคระที่มีความผิดปกติอะไรประมาณนั้น

แต่ทว่าพี่ๆนักโบราณคดีเขาก็ได้ทำการสำรวจไปเรื่อยๆและก็ได้พบศพลักษณะเหมือนกันแบบนี้อีกจำนวน9ร่างเลยทีเดียวจึงทำให้พวกเขานั้นเข้าใจว่ามันไม่ใช่ความผิดปกติของร่างกายของคนสองคนแล้วมันอาจจะเป็นเผ่าพันธ์ที่ได้อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้อย่างแน่นอนก็เลยตั้งชื่อให้กับคนกลุ่มนี้ว่า ฮอบบิทแห่งเกาะฟลอเรส 

นอกจากนี้พวกเขาก็ยังได้ทำการศึกษากันอย่างจริงจังนำเอาไปเทียบกันว่า ฮอบบิท จะเหมือนกับในหนังได้หรือเปล่ามันก็คงเป็นที่น่าผิดหวังอยู่นิดๆเพราะว่าพวกมันมีอยู่จริงสมองของพวกมันก็จะเล็กมากแต่นั่นก็อาจจะเป็นสาเหตุว่าทำไมเฟรโด้กับแซมถึงต้องใช้เวลานานมากกว่าจะมาทำลายแหวนแค่เพียงวงเดียว

ซึ่งสมองที่เล็กๆของมันนั้นก็เลยได้ทำให้มันได้สูญพันธ์ไปจากโลกนี้ไปนอกจากนี้เขาก็ยังได้สันนิษฐานอีกว่ามันอาจจะมาจากการรุกรานจากมนุษย์อย่างพวกเราๆนี่แหละ

เมื่อเราพูดถึงคนตัวเล็กไปแล้วเราก็มาดูคนตัวใหญ่กันบ้างดีกว่ากับยักษ์ตาเดียวยักษ์ตาเดียว ไซคลอปที่เป็นนอีกหนึ่ที่มีชีวิตชื่อดังไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกว่าพันปีแล้วเราก็ยังสามารถพบเห็นได้ไม่ว่าจะนวนิยายหรือในภาพยนตร์ต่างๆ

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  aesexy

การรักษาแบบโบราณชาวกรีก

ซึ่งของเหลวที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์ทั้ง4ชนิดในร่างกายมนุษย์ตามความเชื่อของกรีกโบราณได้แก่หนึ่งเลยก็คือเลือดแน่นอนเลยอันนี้ชัดเจนเพราะว่ารู้ว่ามันมีอยู่จริงสองก็คือเสมหะก็คนสมัยก่อนเขาผ่าตัดอะไรไม่ได้เขาก็คงจะดูจากอะไรที่เราคายออกมานี่แหละและอีก2อย่างที่เหลืออยู่ก็คือน้ำเหลืองสีเหลืองแล้วก็น้ำเหลืองสีดำนั่นเอง

โดยอันนี้สันนิษฐานเองส่วนตัวจากการที่เราได้ไปศึกษาอ่านทฤษฎีต่อไปเรื่อยๆและดูวิธีการรักษาเดาว่าน้ำเหลืองสีเหลืองก็คือปัสสาวะและน้ำเหลืองสีดำก็คืออุจจาระนั่นเอง

ดังนั้นคุณHippocratesเขาก็ได้มีความเชื่อว่าของเหลวทั้ง4ที่อยู่ในร่างกายธาตุทั้ง4ที่อยู่ในร่างกายจะต้องรักษาให้มันสมดุลเพื่อสุขภาพที่ดีถ้าสมมติว่าอันไหนมากไปอันไหนน้อยไปก็จะทำให้สมดุลของร่างกายพังแล้วก็ทำให้สุขภาพไม่ดีเท่าที่ควร

ซึ่งในวิธีการรักษาของร่างกายก็เลยจะต้องมีการปรับให้ของเหลวที่อยู่ในร่างกายมันสมดุลกันไม่ว่าจะเป็นการเจาะเลือดออกเขาไม่ได้ใช้วิธีกระอักเลือดแบบในหนังจีนโบราณเขาใช้วิธีการเจาะเลือดออกถ้าสมมุติเลือดมากเกินไปก็ต้องเจาะเลือดออกถ้าสมมุติว่าน้ำเหลืองสีเหลืองมาเกินไปก็ต้องขับปัสสาวะออกถ้าสมมุติว่าน้ำเหลืองสีดำมากเกินไปก็จะต้องไปกินยาถ่ายหรือว่าถ้ามีเสมหะมากเกินไปก็จะต้องขากออกมาอะไรแบบนี้

นอกจากนี้ชาวกรีกโบราณก็ได้ยึดกับทฤษฎีนี้มาเรื่อยๆจนกระทั่งได้มาถึงในยุคของแพทย์อีกคนหนึ่งชื่อว่าคุณGalen of Pergamumคนๆนี้เขาก็เป็นแพทย์ชาวกรีกเหมือกันเขาก็มาตอกย้ำทฤษฎีของคุณHippocratesอีกรอบ

โดยการบอกว่าในการรักษาสมดุลมันสำคัญจริงๆแต่บรรดาของเหลวทั้งสี่ที่อยู่ในร่างกายของเรานั้นของเหลวที่สำคัญที่สุดก็คือเลือดนั่นเอง

ดังนั้นเราปล่อยให้เรามีเลือดมากเกินไปไม่ได้มันจะไม่สมดุลซึ่งจากทฤษฎีของคุณGalen of Pergamumก็เลยทำให้หมอสมัยกรีกโบราณ โรมันโบราณเอะอะวินิฉัยอะไรไม่ว่าจะป่วยเป็นอะไรก็ตามก็จะวินิฉัยว่าคุณมีปัญหามีเลือดเสียอยู่ภายในร่างกายมากเกินไปจะต้องเอาเลือดออกจากตัว

ซึ่งวิธีการเอาเลือดออกจากตัวก็จะมีตั้งแต่วิธีการกรีดเลือดออกแล้วก็เอาถ้วยมารองหรืออะไรต่างๆเอามารองแล้วก็วัดว่าตอนนี้เอาเลือดออกไปกี่ถ้วยแล้วโอเคร่างกายน่าจะได้สมดุลแล้วไปจนถึงวิธีที่แบบดินกว่านั้นอีกก็คือก็คือนำเอาปลิงตัวสัตว์ต่างๆที่มันสามารถดูดเลือดได้นำเอามาดูดออกจากผิวหนังโดยตรงก็เรียกว่าเป็นวิธีลัดแล้วกันในสมัยที่มันยังไม่ได้มีเข็มฉีดยาหรือว่าเข็มเก็บตัวอย่างเลือดอะไรต่างๆ

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  letou ฟรีเครดิต

ตำนานยักษ์ยกเสาโทลเวย์

ดินแดนสยามถูกก่อสร้างมาพร้อมกับความเชื่ออะไรต่างๆมากมายตั้งแต่ชื่อเมืองชื่อสถานที่ที่จะแฝงไปด้วยตำนานเรื่องลี้ลับต่างๆในบางเรื่องก็น่ากลัวนั่นเองมันก็ไม่ใช่แค่ยุคโบราณ

กรุงเทพที่นับว่าเป็นเมืองหลวงทันสมัยมากที่สุดของเมืองไทยก็ยังไม่พนกับเรื่องราวความเชื่ออะไรแบบนี้เรามีเรื่องราวปริศนาต่างๆที่ได้ซ้อนอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้กันถึงแม้คนที่โตมากับเมืองนี้ผ่านสถานที่บางแห่งมาทุกวันกลับไม่รู้เลยว่ามีเรื่องลี้ลับฝังอยู่ที่นั่นจะมีอะไรบ้างมาอ่านกันเลย

ซึ่งถ้าหากใครที่นั่งรถหรือว่าขับรถผ่านถนนวิภาวดีรังสิตไหมก็จะต้องขับผ่านเสาต่างๆที่คอยค้ำโทลเวย์อยู่มากมายและถ้าเราลองสังเกตดูให้ดีๆมันมีเสาอยู่สองต้นที่มันจะมีความพิเศษไปมากกว่าเสาต้นอื่นๆอยู่และที่เป็นด้านปลายเสาจะมีรูปยักษ์เหมือนกำลังยืนแบกเสาอยู่มันก็ไม่น่าแปลกถ้าหากว่าเสามันได้สร้างขึ้นมาเหมือนกันหมดทุกต้นแต่ทำไมมันถึงได้มีเพียงแค่บางต้นเท่านั้นที่ได้สร้างให้เป็นรูปยักษ์

เนื่องจากเรื่องนี้มันได้มีที่มามันเป็นตำนานเมืองที่เกี่ยวกับอาถรรพ์ที่สร้างโทลเวย์นี้มันเริ่มต้นจากที่ถนนวิภาวดีก็เป็นหนึ่งถนนที่ขึ้นชื่อว่ารถติดแต่ว่าถนนเส้นนี้เองก็จะมีเส้นลาดพร้าวมันตัดกันมันวิ่งรถกันไม่ถูกกันเลยทีเดียวมันก็จะทำให้มันยิ่งติดเขาไปอีก

นอกจากนี้เขาก็เลยมีโครงการที่จะสร้างถนนให้มันลอยให้ขึ้นไปอยู่บนฟ้าเพื่อเป็นการลดการติดขัดของจารจรแต่ด้วยความที่ว่าสะพานมันเยอะก็เลยจะต้องสร้างให้มันทับกันไปมาจนกระทั่งได้มาถึงสะพานโทลเวย์นี้ตอนแรกที่พวกเขาเริ่มสร้างมันไม่มีอะไรผิดไปแต่ได้สร้างมาถึงตัวแยกลาดพร้าวที่จะต้องยกตัวสะพานให้สูงขึ้นไปอีกเพื่อที่จะข้ามสะพานต่างๆที่อยู่ด้านล่าง

โดยมันดูเหมือนกับว่าจะมีเรื่องอะไรที่มันดูแปลกๆเกิดขึ้นไม่ว่าจะสร้างสะพานยังไงก็ตามยกเสายังไงก็ตามมันก็ล่นลงมาตลอดว่ากันว่ามันได้ทำให้เกิดอุบัติเหตุอยู่หลายครั้งมากเช่นชิ้นส่วนของสิ่งก่อสร้างต่างๆล่นลงมาทับคนที่อยู่ด้านล่าง

ดังนั้นเมื่อสถาปนิกได้หมดปัญญาก็เลยจะต้องหันไปพึ่งคุณไสยแทนพวกซินแสต่างๆนานาก็มาดูกันก็เลยบอกว่าคนมันยกเสาไม่ขึ้นก็ให้ยักษ์ยกสิยักษ์แรงเยอะ

นอกจากนี้ทางทีมงานก็เลยให้จัดสร้างรูปสลักยักษ์ขึ้นมาเพื่อที่จะใช้อำนาจที่มองไม่เห็นในการแบกเสาจากนั้นก็เหลือเชื่อพอเอารูปสลักไปติดเสาโทลเวย์ก็สามารถที่จะยกขึ้นได้อย่างง่ายด้านแล้วก็ไม่พังลงมาอีกเลย

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  เล่นบาคาร่าออนไลน์ฟรีได้เงินจริง

โรงหนังร้าง จ.สระบุรี

วันนี้เราจะมาพูดถึงสถานที่แห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรีซึ่งสถานที่แห่งนี้ได้ถูกปล่อยให้รกร้างมาเป็นเวลานานมากแล้ว

ซึ่งสถานที่แห่งนี้ถ้าหากไม่ใช่คนในพื้นที่แล้วจะไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่ามีเรื่องเล่าตำนานสุดหลอนมากเลยในส่วนของสถานที่แห่งนี้ที่เราจะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้นั่นก็คือตำนานโรงหนังผีสิงพุทธรามา อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี สถานที่แห่งนี้มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามแต่ถูกปล่อยให้รกร้างอยู่กลางชุมชนชาวบ้านหลายคนที่ผ่านไปผ่านมาในสถานที่แห่งนี้มักจะไม่สังเกตเห็นว่านี่มันคืออะไร

เพราะเนื่องจากว่าภายนอกถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้มันจึงได้ทำให้สถานที่แห่งนี้เหมือนกับว่ามันจะรกร้างถ้าได้เห็นในช่วงตอนกลางวันจะไม่ค่อยเท่าไหร่แต่ถ้าได้มาช่วงตอนกลางคืนแล้วขอบอกได้เลยว่าที่แห่งนี้ได้เป็นอีกสถานที่สถานที่หนึ่งที่วัยรุ่นมักจะชอบเข้ามาลองของกันอยู่เป็นประจำเดี๋ยวเราจะมาดูกันว่าความหลอนของสถานที่แห่งนี้จะหลอนแค่ไหนต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วย

เพราะเนื่องจากว่าเรื่องเล่าในบางเรื่องมันเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าสืบต่อกันมาไม่สามารถที่จะหาหลักฐานที่ชัดเจนได้แต่ทว่าในบางเรื่องก็มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าสิ่งนี้มันเคยเกิดขึ้นจริงๆมาก่อน

สำหรับโรงหนังพุทธรามาหรือชื่อเดิมคือพุทธบูชาตั้งอยู่ใน อ.พระบาทน้ำพุ จ.สระบุรีจากข้อมูลสถานที่แห่งนี้ได้ก่อตั้งมาเมื่อปี พ.ศ.2500แล้วก็ได้เลิกกิจการไปเกือบจะ30กว่าปีแล้วท่ามกลางเสียงที่ล้ำลือว่าเหตุใดถึงต้องยกเลิกกิจการทั้งๆที่ในอดีตที่โรงหนังแห่งนี้ถือว่าได้รับความนิยมจากชาวบ้านในระแวกนั้นเลยเพราะในสถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นโรงหนังที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นแล้วแต่อยู่ๆได้ปิดกิจการลงโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ

นอกจากนี้โรงหนังแห่งนี้ยังเป็นโรงหนังแบบภาคสดอยู่ในอดีตโรงหนังแบบภาคสดถือว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทุกคนพอจะนึกออกว่ามันเป็นยังไง

ในอดีตโรงหนังต่างๆจะใช้วิธีการเสียงสดเอาในแต่ละเรื่องจะไม่มีการเปิดภาพพร้อมกับเสียเหมือนกับในยุคปัจจุบันแต่จะเป็นการภาคเสียงสดของละครเรื่องนั้นหรือหนังเรื่องนั่นๆ

โรงหนังแห่งนี้เป็นโรงหนังที่ใหญ่หนึ่งโรงได้มีที่นั่งเรียงกันประมาณ30ถึง40แถวรองนึกภาพตามแถวที่นั่งในโรงหนังประมาณ30ถึง40แถวมันจะเป็นโรงหนังที่ใหญ่ขนาดไหนสมัยที่โรงหนังแห่งนี้เริ่มกิจการ

สำหรับคนที่ได้มาดูหนังรอบดึกมักจะเจอเรื่องราวแปลกๆในช่วงกลางวันเวลาปกติก็จะไม่ค่อยมีใครเจออะไรหรอกแต่จะไปเจอเรื่องหลอนๆในรอบดึกหลายครั้งที่คนไปดูหนังรอบดึกมักจะเจอวิญญาณของหญิงสาวที่ไม่มีใบหน้า

 

 

สนับสนุนโดย  สูตรหวยยี่กี lottovip 2ตัว

ตำนานขงเบ้งใครเป็นอาจารย์ของขงเบ้ง

สำหรับเราคิดว่าใครที่อ่านวรรณกรรมสามก๊กหรือว่าไม่เคยอ่านวรรณกรรมสามก๊กชื่อของ ชงเบ้ง นั้นก็คงจะไปปรากฏอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน

ซึ่งประสบการณ์ของใครหลายคนที่มีต่อคำว่าขงเบ้งนั้นก็คงจะแตกต่างกันออกไปบางคนเคยได้ยินคำว่าขงเบ้นจากการเมืองบางคนได้ยินคำว่าขงเบ้งจากภาพยนตร์บางคนได้เห็นว่าขงเบ้งมาจากหนังสือแต่ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตามขงเป็นนั้นถือว่าเป็น ปราชญ์ ผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศจีนที่ได้ขึ้นชื่อว่า จอมปราชญ์แห่งยุคคนหนึ่งเลยทีเดียว

โดยในประเทศไทยได้หยิบยกเอาคำว่า ขงเบ้ง มาเปรียบเปรยกับผู้ที่มีความรู้มีความสามารถมีความฉลาดในเรื่องของการวางแผนยิ่งกว่าเหนือเมฆเสียอีก

ดังนั้นในหัวข้อที่เราจะมาพูดกันหัวข้อที่ใครหลายคนก็จะมีอยู่ในใจว่าใครเหนือชั้นกว่า ขงเบ้ง ก่อนที่เราจะไปพูดว่าใครอยู่เหนือชั้นกว่า ขงเบ้ง เราควรมาทำความรู้จักกับ ขงเบ้ง เล็กน้อยเพราะว่าบางคนที่จะพึ่งเข้ามาชมก็ยังไม่ค่อยรู้จัดกันเท่าไหร่เราขอปูพื้นเพียงเล็กน้อยว่า ขงเบ้ง นั้นคือใครแบบสั้นๆย่อๆ

ซึ่ง ขงเบ้ง ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีความปราดเปรื่องมีความฉลาดเป็นนักคิดนักวิเคาระห์นักนวัฒกรรมและที่สำคัญ ขงเบ้ง นั้นไม่ใช่นักวิชาการที่เก่งแต่ในตำราแต่เขายังมีความกล้าได้กล้าเสียกล้าเสี่ยงและยังได้เป็นนักปฏิบัติตัวยงกันเลยทีเดียว

การปรากฏตัวในครั้งแรกของ ขงเบ้ง ในวรรณกรรมของสามก๊กนั้นได้เกิดขึ้นเมื่อเล่าปี่นั้นได้พูดคุยกับสุมาเต๊อะชูและสุมาเต๊อะชูได้ชื่อว่าเป็นซินแสแว่นน้ำแล้วก็ได้เป็นอาจารย์ของ ขงเบ้ง สุมาเต๊อะชูได้พูดกับเล่าปี่ว่าเล่าปี่นั้นไม่สามารถที่จะตั้งตัวได้

ซึ่งในขณะนั้นเราจะต้องเท้าความสักเล็กน้อยว่าโจโฉนั้นได้ตั้งตนเป็นใหญ่แล้วซุนเซ็กตั้งตัวเป็นใหญ่แล้วแต่ทว่าเล่าปี่ยังไปไม่ถึงไหนเรียกได้ว่าเป็นม้าอยู่นอกสายตาเป็นดาวรุ่งมานานแต่ไม่สามารถที่จะขึ้นไปอยู่ค้างฟ้าเหมือนคนอื่นได้ยังไม่ติดลมบนยังพยายามหาหนทางที่จะทำให้ตัวเองนั้นมีจุดยืนที่สำคัญแล้วก็เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่

เนื่องจากนี้แล้วหลายต่อหลายคนมีความคาดหวังกับเล่าปี่แต่ว่าเล่าปี่นั้นก็ไม่ได้ทำการสำเร็จสักทีเล่าปี่ก็ได้มีการสนทนาพาทีกับอาจารย์สุมาเต๊อะชูผู้ที่เป็นซินแสแว่นน้ำผู้อย่างรู้มากมายกันเลยทีเดียวสุมาเต๊อะชูก็ได้พูดกับเล่าปี่ไปว่าท่านขุนพลนั้นเป็นคนที่มีบารมีชื่อเสียงที่กว้างไกลมีทหารที่มีความสามารถมีขุนศึกที่เก่งกาจอย่างกวนอู

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  เปิดบัญชีคาสิโนขั้นต่ำ100