ตำนานสยองเชอร์โนบิลเมิองพริเพียต ประเทศยูเครน

          เชื่อว่าหลายคนเคยได้ดูหนังสยองขวัญมาบ้างแล้วซึ่งเคยมีการนำตำนานของเชอร์โนบิล เมืองร้างที่ครั้งหนึ่งเคยมีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นจากการที่โรงงานผลิตนิวเคลียร์ระเบิดส่งผลให้มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากและที่สำคัญผลจากการระเบิดในครั้งนี้ส่งผลให้มีสารกัมมันตภาพรังสีแผ่ขยายปกคลุมไปหลายประเทศและชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวต่าง

ก็ได้รับผลกระทบหากใครได้รับสัมผัสกัมมันตภาพรังสีเหล่านั้นก็จะทำให้ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายป่วยด้วยโรคมะเร็งหรือหากใครได้รับสารเคมีเหล่านั้นมากก็จะทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปผิดรูปร่างคล้ายกับไม่ใช่มนุษย์เลยทีเดียวซึ่งการรุนแรงในการระเบิดในครั้งนั้นว่ากันว่าแรงระเบิดมีความรุนแรงมากถึง 4 เท่า

หากเปรียบเทียบกับการระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วจะได้ว่าเป็นโศกนาฏกรรมที่สามารถบันทึกในประวัติศาสตร์โลกได้เลยเพราะเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงเลวร้ายที่เกิดขึ้นโดยโรงงานนิวเคลียร์แห่งนี้มีการระเบิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายนพุทธศักราช 1986 ซึ่งในครั้งนั้นแรงระเบิดอยู่ในระดับความรุนแรงที่ระดับ 7 ทำให้มีผู้คนทั้งล้มตายและกลายพันธุ์รวมถึงพิการและป่วยด้วยโรคมะเร็งหลายแสนคนเลยทีเดียวซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ยังไม่สามารถที่จะนำผู้คนเข้าไปอยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าวได้ด้วยผลของกัมมันตภาพรังสีนั้น ยังมีความรุนแรงอยู่โดยเชื่อกันว่าต้องใช้เป็นเวลานานหลายหมื่นปีเลยทีเดียวกว่าที่สารกัมมันตภาพรังสีเหล่านั้นจะหมดไปและผู้คนสามารถกลับไปอาศัยได้อย่างปลอดภัยอีกครั้งหนึ่งซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้น

ส่งผลให้ ต้องมีการอพยพประชากรในประเทศยูเครน  เบลารุส รวมถึงประเทศรัสเซียซึ่งสามารถอพยพได้อยู่ที่ประมาณ 336,000 เท่านั้นส่วนที่เหลือได้รับผลกระทบโดยตรงซึ่งมีมากถึง หกแสนคนและเสียชีวิตทันทีจากการได้รับกัมมันตภาพรังสีถึง 56 คนแล้วยังมีอีก 400 คนที่มีปัญหาด้านสุขภาพร่างกายเนื่องจากว่าสารกัมมันตภาพรังสีก่อให้เกิดโรคมะเร็งจากการที่พวกเขาเหล่านั้นได้ไปสัมผัสโดยตรงปัจจุบันพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากรังสีนิวเคลียร์ยังส่งผลให้เราเห็นอยู่

โดยใบไม้จะกลายเป็นสีน้ำตาลแดง และผู้คนที่ถูกรังสีดวงตาก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดงทุกวันนี้เมืองแห่งนั้นก็ยังคงค้างอยู่เพราะไม่มีใครที่จะสามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้ทำให้เมืองร้างแห่งนั้นกลายเป็นตำนานที่สยองโลกแห่งหนึ่งของโลก ปัจจุบันนี้ใครที่อยากจะลองดีเข้าไปใน เชอร์โนบิล เมิองพริเพียต  ประเทศยูเครน มักจะได้รับผลกระทบหลังจากออกมาจากพื้นที่ดังกล่าวเพราะพื้นที่บริเวณนั้นยังมีสารพลูโตเนียมกระจายควบคุมสร้างอันตรายให้กับคนและสัตว์รวมถึงสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อาศัย

หรือหลงเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งหากใครจะเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่เคยถูกระเบิดนิวเคลียร์นั้นอาจจะต้องใช้เวลามากกว่าอีก 300 ปีขึ้นไปถึงจะสามารถสลายสารกัมมันตภาพรังสีเหล่านั้นได้หรืออาจจะยังคงอยู่ต่อไปชั่วลูกชั่วหลานเพื่อเป็นการลงโทษมนุษย์ที่ผลิตสารอันตรายขึ้นมา

สิ่งที่คนโบราณ เขาถือ

  1.   คนโบราณสมัยก่อนไม่อนุญาตให้คนที่ทำอาหารชิมอาหารด้วยทัพพีไม่งั้งลูกที่ออกมาจะพิการเพราะว่าอาหารที่นั้นยังไม่เสร็จก็เหมือนเด็กที่ไม่ครบประกอบ เหมือนอาหารที่เรากินและความจริงคือคนโบราณไม่ให้คุณใช้ทัพพีนั้นก็เพราะการที่เราชิมอาหารนั้นไปอยู่ในอาหารได้ ซึ้งอาหารจะกินได้ไม่นานอีกด้วยค่ะและเพื่อเราอื่นๆด้วยและจะทำให้คนอื่นๆติดโรค
  2. คนสมัยก่อนไม่อนุญาตให้เหยียบธรณีประตูเพราะมีความเชื่อว่าถ้าเหยียบธรณีประตูจะโดนธรณีสูบค่ะจนเสียชีวิตอยู่ในดินที่ห้ามไว้ก็เพราะเขาอยากให้ทุกทุกคนเดินเข้าเดินออกประตูอย่างมีสติ ค่ะเพราอาจจะไม่ระวังและอาจจะไปสะดุดธรณีประตูได้ค่ะ
  3. เมื่อสมัยโบราณเขาไม่ให้กินเต่า เพราะถ้าใครกินเต่าจะเป็นคนช้าเหมื่อนเต่าและคนที่ฆ่าเต่าจะเป็นบาปค่ะทำอะไรก็ไม่ได้งานการอะไรและยังทำให้ตายเร็วอีกด้วยค่ะที่เขาพูดกันมาอย่างนี้ก็เพราะเต่าใกล้จะสูญพันธุ์ แล้วแต่จับก็ไม่ได้ยากคนเลยชอบกินเนื้อเต่าและเวลาที่ตายนั้นจะมีนํ้าไหลออกมาจากกระดองค่ะ
  4. คนโบราณเชื่อว่าคนที่ร้องเพลงตอนกินข้าวนั้นจะมีสามีแก่หรือเมียแก่กว่าที่คนโบราณเชื่อกันแบบนี้ก็เพราะคนอื่นๆเขาเชื่อแต่ที่คนโบราณห้ามก็เพราะกลัวคนที่ร้องเพลงนั้นข้าวจะติดคอได้ค่ะ

  5. คนสมัยก่อน เชื่อว่าใครที่เดินข้ามหนังสือจะไม่มีความรู้และจังโง่เขาทำให้ใครใครก็ไม่อยากอยู่ด้วยรังเกียจความฉลาดสู้ใครก็ไม่ได้ซึ่งคนโบราณบอกกันว่าหนังสือคือสิ่งที่จะช่วยทำให้เราฉลาดเพราะเราจะอ่านหนังสือเนื่องจากในหนังสือมีความรู้มากมายหลายอย่างดังนั้นจึงไม่มีใครที่ต้องการจะเดินข้ามหนังสือ

เนื่องจากกลัวว่าตัวเองจะโง่ถึงแม้ว่าความเชื่อนี้จะมีมานมนานแล้วแต่บางคนในยุคปัจจุบันก็ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เส้นสำหรับการแก้เคล็ดเผื่อใครเผลอเดินข้ามหนังสือก็ให้กราบที่หนังสือ 3 ครั้งก็จะทำให้ไม่โง่แล้วค่ะ ซึ่งถ้าถามถึงความเป็นจริงว่าทำไมคนโบราณถึงได้ตักเตือนเราแบบนี้นั่นก็เพราะว่าเวลาที่เราเดินข้ามหนังสือนั้นก็คือการลบหลู่ความรู้อย่างที่ได้กล่าวไปว่าหนังสือสอนเราได้หลายอย่างมาก

คนเราฉลาดได้ก็เพราะหนังสือเพราะหนังสือมีความรู้ต่างๆมากมายแต่เมื่อเดินข้ามไปก็เท่ากับว่าลบหลู่ความรู้ต่างๆเช่นหนังสือได้รวบรวมเก็บไว้ให้เราได้อาจจะมีความรู้มากมายดังนั้นคนโบราณจึงสั่งและตักเตือนว่าไม่ควรที่จะเดินข้ามหนังสือและนอกจากนั้นก็เพื่อให้เด็กๆเก็บหนังสือเข้าที่เข้าทางผ่านไม่วางไปมาเกือบรอบห้องนั่นเองค่ะ

4สถานที่ที่ได้มีการทำการทดลองยิงนิวเคลียร์ในอดีต

สถานีทดลองหลัก สหภาพโซเวียต เซมี คาซัคสถาน

เรามาอีกฝาคหนึ่งของสงครามเย็นกันบ้างนี่คือสถานีทดลองของโซเวียตได้มีการปิดเมืองที่จะเอาไว้ใช้ทำในการทดลองยิงขีปนาวุธโดยเฉพาะทั้งหมด154ครั้งในช่วงปี คศ1949ถึง1989และยังรวมไปถึงการทดลองในใต้ดินประมาณ240ครั้งและในชั้นบรรยากาศอีก116ครั้งรวมๆแล้วเทียบแรงระเบิดรวมแล้วมากกว่าที่ ฮิโรชิม่าประมาณ2500ลูกในปัจจุบันหลุมนิวเคลียร์ที่อยู่ในแทบนี้ได้โดยน้ำท้วมขังไปบ้างแล้ว

เกาะNovaya Zemlya รัสเซีย

Novaya Zemlya เป็นดินแดนที่อยู่ห่างไกลออกไปในมหาสมุทรอาร์กติกที่อยู่ในทางตอนเหนือของรัสเซียได้ดูเป็นที่รกร้างดูไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลยนั่นมันก็แปลว่ามันได้เหมาะสมแก่การทดลองนิวเคลียร์เป็นอย่างยิ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี คศ1954 ได้มีการทดลองนิวเคลียร์ไปประมาณ224ครั้งหนึ่งในนั้นได้เป็นระเบิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลกได้มีความรุนแรงขนาด57เมกะตันได้รุนแรงกว่าระเบิดที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิอยู่หลายเท่าในปัจจุบันในหมู่เกาะแห่งนี้ก็ได้ถูกใช้ให้เป็นกองทัพของทหารอีกทั้งยังได้มีเรือสำราณอีกหลายลำยังได้ล่องผ่านทางตอนใต้ของหมู่เกาะแห่งนี้ด้วย

มาราลินกา ใน ออสเตรเลีย

มาราลินกาเป็นพื้นที่ที่ทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลียได้ใช้ให้เป็นที่ทดลองนิวเคลียร์ในการทดลองของประเทศอังกฤษในช่วงปี คศ1950 เนื่องจากประเทศอังกฤษนั้นไม่มีพื้นที่ที่จะทำการทดลองนี้ได้ก็ได้โยกย้ายมาทำที่ประเทศออสเตรเลียที่ได้มีพื้นที่นั้นเยอะและกว้างมากพอซึ่งในขณะตอนนั้นก็ยังมีชาวพื้นเมืองอะบอริจินอาศัยอยู่ทางการจึงได้ทำการแก้ไขและได้โยคย้านถิ่นฐานออกไปโดยทั้งหมดหลังจากที่การทดลองจะต้องใช้เวลานานมากและต้องใช้ระยะเวลาปี คศ2000 ทางการจึงได้ประกาศให้พื้นที่แห่งนี้ปลอดภัยแต่ว่าชาวพื้นเมืองอะบอริจินที่ได้โยคย้ายถิ่นฐานออกไปก็ยังไม่ได้รับอนุญาติที่จะให้เข้าไปใช้ชีวิตในถิ่นฐานที่นั่นอีก

โปขราณ อินเดีย

ประเทศอินเดียนั้นก้ได้เริ่มมีการทำยิงนิวเคลียรย์ทดลองในปี คศ1960 ที่กำลังได้มีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านทั้งประเทศจีน และ ประเทศปากีสถาน โดยได้มาทำการทดลองในที่โปขราณพื้นที่ทะเลทรายในแคว้นราชาสถานได้มีประชากรอาศัยอยู่ราวประมาณ50คนจากนั้นทางการรัฐบาลอินเดียยังได้ออกมาประกาสว่าเป็นการทำการทดลองปรมาณูเพื่อสันติอย่างเดียวเท่านั้นแม่ว่าในการทำการทดลองจะไม่ได้ผลรับที่ทางการประเทศอินเดียพอใจสักเท่าไรแต่ถึงในปัจจุบันในพื้นที่ที่ทำได้การทดลองโดยบริเวณนี้ก็ยังได้มีการคลุมเข้มอยู่รวมไปถึงในการปิดบังข้อมูลเรื่องที่ชาวบ้านนั้นในรับผลกระทบการทำการทดลองนี้ด้วย

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย next88