ตำนานค่ายลูกเสือ ณ ระยอง

ซึ่งได้มีข่าวได้มีเด็กคนหนึ่งได้เข้าไปที่ค่ายลูกเสือและพลัดตกน้ำและก็ไม่สามารถพบเห็นศพเด็กคนนั้นอีกเลยหลังจากที่ได้มีข่าวลือออกไปก็ได้มีผู้คนชาวบ้านได้พูดถึงกันมากยิ่งขึ้น จนได้มีอยู่วันหนึ่งได้มีคนที่เป็นวิทยากรและที่เป็นพี่เลี้ยงที่อยู่ที่ค่ายลูกเสือแห่งนี้เขาก็ได้มีการออกมาบอกว่าเขาได้เจอเหตุการณ์แปลกเกิดขึ้นในขณะที่เขาได้เข้ามาทำหน้าที่ในค่ายแห่งนี้อยู่สองถึงสามเหตุการณ์เลย

เนื่องจากว่าข้อมูลตรงนี้เขายังได้บอกเอาไว้อีกว่าเหตุการณ์แรกนั้นที่เขาได้พบเจอคือได้มีเด็กลูกเสือที่เขาได้คุมค่ายในขณะนั้นได้เดินเข้ามาบอกเขาว่า เมื่อคืนในขณะที่เด็กคนนั้นได้นอนหลับอยู่ในเต้นท์กลับเพื่อเขาอีกคนหนึ่งอยู่ดีๆได้มีเด็กใส่ชุดลุกเสืออย่างเต็มรูปแบบได้เดินเข้ามาอยู่หน้าเต้นท์แล้วได้เปิดเต้นท์เขาขึ้นมาพร้อมกับบอกว่าเขาขอนอนด้วยได้หรือไม่

ซึ่งในตอนนั้นเด็กคนนั้นเขาก็ไม่ได้คิดอะไรด้วยความว่าที่เขานั้นได้เป็นเด็กและเขานั้นได้เห็นว่าคนๆนั้นที่ได้ขอเข้ามานอนเขาก็ได้ใส่ชุดลูกเสืออยู่เหมือนกันเขาก็คิดว่าน่าจะเป็นเหมือนเพื่อนๆห้องอื่นๆก็เป็นได้แต่ในตอนนั้นเขาก็เริ่มที่จะคิดอยู่ในใจอีกอย่างว่าเด็กคนนี้เขาไม่คุ้นหน้าเลยเรื่องว่าเขานั้นได้เป็นเพื่อนที่อยู่นโรงเรียนและอีกหนึ่งอย่างก็คือเด็กคนนั้นที่ได้ใส่ชุดลูกเสืออยู่เสือผ้าทั้งตัวเปียกน้ำไปหมดทั้งตัวเหมือนกับง่าเด็กคนนี้ได้ไปเล่นน้ำหรือตกลงไปในน้ำมานั่นเอง

แต่ก็อย่างที่เราได้บอกไปว่ายังไงเด็กก็คือเด็กเขาไม่ได้คิดอะไรเขาก็เลยแบ่งพื้นที่ที่นอนให้กับเด็กคนนั้นนอนด้วยปรากฏว่าในตอนเช้ามามันก็ได้มีเหตุการณ์แปลกๆก็เกิดขึ้นมาอีกก็คืออยู่ดีเด็กคนนั้นที่ได้เข้ามาขอนอนด้วยเขาได้หายตัวไปโดนที่เด็กสองคนนั้นเขาไม่รู้ตัวเลยเขาก็เลยคิดว่าเหตุการณ์เหล่านั้นมันเป็นเพียงแค่ความฝันหรือเปล่าหรือว่าเขานั้นอาจจะคิดมากไปเอง

ปรากฏว่าหลังจากนั้นที่เขานั้นไปเข้าไปเช็คที่บริเวณเต้นท์แล้วและซึ่งที่เขานั้นพบนั่นก็คือตรงพื้นที่ตรงนั้นตรงที่ได้แบ่งที่ให้เด็กคนนั้นนอนมันก็ได้มีรอยน้ำเปียกเสมือนว่าได้มีคนมานอนจริงๆซึ่งตรงนี้ตอนที่เราได้ไปหาข้อมูลมามันก็ค่อนข้างที่จะน่ากลัวพอสมควรเลยส่วนอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันได้เกิดขึ้นมาไม่ไกลกันเลยตรงนี้เจ้าหน้าที่เขาได้เล่าว่าในพื้นที่ของค่ายนั้น

ที่เขาบอกว่ามันมีบ่ออยู่ได้มีอยู่วันหนึ่งที่เด็กลูกเสือหนึ่งคนได้เดินออกไปจากรอบกองไฟและไปยืนอยู่ตรงที่บ่อน้ำแห่งนั้นทำท่าเหมือนคุยอะไรบางอย่างเจ้าหน้าที่เขาได้เห็นเขาก็ตามไปที่เด็กคนนั้นและเข้าไปถามเด็กว่าทำไมถึงมายืนอยู่ที่หน้าบ่อน้ำแห่งนี้

 

 

สนับสนุนโดย  entaplay link

เหตุการโค่นล้มกษัตริย์ชาร์ลสที่10

สงครามนโปเลียนสิ้นสุด เมื่อกองทัพของจักรพรรดินโปเลียนพ่ายแพ้กองกำลังของอังกฤษและปรัสเซียที่วอร์เตอร์ลู ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศเบลเยียมจักรพรรดินโปเลียนถูกเนรเทศไปอยู่ทีเกาะเซนต์ เฮเลน่าจนเสียชีวิตอย่างไรก็ตาม นโปเลียนเคยแพ้สงครามก่อนหน้านั้นและได้ถูกเนรเทศไปอยู่เกาะเอลมาแล้วครั้งหนึ่ง ในระหว่างที่ได้ถูกเนรเทศนั้นฝ่ายสาธารณะรัฐก็ได้เช็ญ หลุยส์ที่18มาครองราชย์ในระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ นโปเลียนได้หนีกลับมาจากเกาะอัลบาประกาศกลับมาตั้งจักรวรรดิอีกครั้งอยู่100วันแล้วก็รบแพ้ที่วอร์เตอร์ลู หลุยส์ที่18ก้ได้กลับมาครองราชย์อีกครั้ง

ประมาณ10ปีจนสวรรคต หลุยส์ที่18ไม่มีทายาทจึงได้น้อยชายมารับตำแหน่งต่อเป็นกษัตริย์ชาร์ลสที่10ภายใต้รัฐธรรมนูญเช่นเดียวกันชาร์ลสที่10เป็นกษัตริย์ที่ไม่ป๊อปปูล่าร์อย่างหนักเลยทั้งนี้เพรราะความขวาจัดไม่ยอมรับการแบ่งอำนาจไม่ยอมรับว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่กษัตริย์ได้รับอาณัติสวรรค์ให้ปกครองแต่เพียงผู้เดียวนั้นได้จบลงไปนานแล้วความขวาจัดตกขอบนี้แม้กระทั่งหลุยส์ที่18ยังเคยบ่นเลยว่าน้องชายคนนี้เป็นรอยัลลิสต์ยิ่งกว่าพระเจ้าแผ่นดินเสียอีกทันทีที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ในวัน67ปีชาร์ลสที่10ก็เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อพาฝรั่งเศสกลับไป

สู่ระบบเดิมหรือที่ได้เรียกกันว่า อองเซียง เรจีมนะได้มีการอวยยศให้เหล่าสมาชิกราชวงศ์ที่ถูกถอดยศไปในช่วงการปฏิวัติชาร์ลสที่10ส่งร่างกำฏหมายเข้าสู้สภาผ่านนายกรัฐมนตรีมากมายได้มีการเพิ่มอำนาจให้ศาสนจักรคาทอลิกได้มีการเพิ่มโทษประการชีวิตผู้ที่หมิ่นศาสนา นอกจากนี้ชาร์ลสที่10ยังพยายามที่จะกลับมาประกอบพระราชพิธีโบราณต่างๆ

อีกหลายอย่างแต่ด้วยความที่ไม่เป็นที่นิยมนายกรัฐมนตรีแต่ละคนที่กษัตริย์ตั้งขึ้นก็มักจะพ่ายแพ้เวลาโหวต หรือ เวลาเลือกตั้งอยู่ตลอดการงัดกันระหว่างสภาและกษัตริย์สร้างความตึงเครียดเป็นอย่างมากกษัตริย์ได้ประกาศยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ก็แพ้อีกจนในที่สุดชาร์ลสที่10ก็ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญประกาศยุบสภาที่เพิ่งได้รับเลือกเข้ามาประกาศควบคุมการรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์แก้กฎหมายเลือกตั้งและประกาศวันเลือกตั้งใหม่ทันทีที่หนังสือพิมพ์รายวันประกาศราชโองการดังกล่าวประชาชนก็ได้ออกมาชุมนุมเกิดการจลาจลไปทั่วทหารพยายามเข้ารักษาความเรียบร้อย

แต่ทหารเป็นจำนวนมากก็ตัดสินใจเข้าข้างประชาชนหลังจากมีข่าวว่ามีม้อบเรือนหมื่นเตรียมจะบุกที่ประทับชาร์ลสที่10ก็ยอมสละราชบัลลังก์และได้เสด็จออกไปจากฝรั่งเศสไปประทับที่อังกฤษหลังครองราชย์เกือบ6ปีและหลังจากนั้นพระองค์แล้วก็ครองครัวก็เร่รอนไปตามวังต่างๆของราชวงศ์ต่างๆในยุโรปเรื่อยๆจนสิ้นพระชนม์ในประเทศสโลวิเนียในปัจจุบันชาร์ลสที่10คือกษัตริย์องค์เดียวของฝรั่งเศสที่พระศพอยู่นอกประเทศฝรั่งเศสจนถึงปัจจุบัน

 

สนับสนุนโดย  entaplay th

ตำนานคุกกลางทะเลเกาะตะรุเตา

ย้อนกลับไป เมื่อประมาณ พ.ศ.2476 ตำนานคุกกลางทะเลแห่งตะรุเตาได้เกิดขึ้นที่ประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้ได้เป็นเรื่องจริงที่มันได้เกิดขึ้นมาแล้วในประเทศไทยตำนานคุกที่เกาะตะรุเตาได้ถูกขนามนามว่าสถานที่แห่งนี้คือสถานที่นรกบนดินได้มีนักโทษราวๆเกือบ4,000คนที่ได้ถูกจับนำเอามาขังคุกไว้บนพื้นที่เกาะแห่งนี้

ซึ่งเกาะแห่งนี้ได้ถูกเรียงว่าเป็นเกาพนรกบนดินก็เพราะว่านักโทษที่พวกเขาได้ถูกจับมาอยู่ที่เกาะแห่งนี้จะไม่สามารถที่จะหลบหนีออกไปได้เหตุผลที่ไม่สามารถหลบหนีออกไปได้นั้น เนื่องจากว่าบนพื้นที่เกาะตะรุเตาได้ตั้งอยู่กลางทะเลนักโทษค่อนข้างที่จะหลบหนีออกไปจากเกาะได้ยากมากๆและซึ่งแรกที่พวกเขาจะต้องเจอนั้นก็คือสิ่งแรกเลยจะเจอกับปลาฉลามที่มีนิสัยดุร้ายมากี่ได้อยู่รอบๆบริเวณเกาะ

และนอกจากฉลามแล้วพวกเขาก็ยังจะต้องพบเจอกับจรเข้และมรสุมอีกเยอะแยะมากมายที่เกือบจะทั้งปีเลยก็ว่าได้จึงไม่สามารถที่พวกเขาจะว่ายน้ำกลับไปที่ยังฝั่งได้ใน ซึ่งผู้คนในสมัยนั้นต่างก็ได้รับรู้กันดีอยู่แล้วว่าใครที่ได้ก่อเหตุคดีร้ายแรงก็จะต้องถูกส่งตัวไปยังสามารถที่นรกแห่งนี้ “ และยังรวมไปถึงนักโทษทางการเมืองอีกด้วย ” และสถานที่ที่นักโทษบนเกาะอาศัยอยู่นั้นเป็นเรือนที่มีขนาดใหญ่ได้อยู่รวมกันหลายคน

ซึ่งก็ได้มีนักโทษหญิงอยู่บนเกาะแห่งนี้อีกด้วยแต่ได้ถูกจัดให้ได้อยู่ในโซนพิเศษอีกทั้งยังได้มีบ้านของผู้คุมนักโทษที่ได้อยู่บนเกาะแห่งนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งเหตุผลหลักๆเลยที่ได้มีการเลือกเกาะตะรุเตาแห่งนี้ได้ให้เป็นเรือนจำกลางทะเลเพราะเนื่องจากว่ามันได้เป็นเกาะที่ได้มีขนาดใหญ่ที่ได้อยู่กลางทะเลที่เติมไปด้วย

ปลาฉลามและก็จรเข้ไม่มีเรือนที่ไหนจะมาแล่นผ่านเพราะว่าท้องทะเลนั้นได้มีคลื่นลมที่แรงถือว่าได้เป็นกำแพงคุกที่ธรรมชาติอีกด้วยที่จะป้องกันการหลบหนีของนักโทษได้เป็นอย่างดี จุดเริ่มต้นขณะสำรวจของกรมราชทัณฑ์และนักโทษที่ได้มีความประพฤติดีบางส่วนก็ได้ถูกส่งตัวให้มาอยู่ในสถานที่นรกแห่งนี้ด้วยการจัดสร้างอาคาที่ได้มีการทำบ้านพักของผู้คุมและเรือนนอนของนักโทษต่างๆและยังรวมไปถึงเรือนที่ฝึกอาชีพอีกด้วย

จนกระทั่งทุกอย่างมันได้เตรีนมความพร้อมเอาไว้หมดแล้วนักโทษจำนวนแรกประมาณ500คนก็ได้ถูกส่งมายังเกาะตะรุเตาในปี2481จากนั้นก็ได้เริ่มมีการส่งเข้ามาอยู่เรื่อยๆตามระยะเวลา

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  entaplay login

ตำนานพระขวาง ที่วัดพระขวางจังหวัดชุมพร

           สถานที่แต่ละที่นั้นย่อมมีที่มาที่ไปและมีเรื่องเล่าประจำเป็นของตนเองว่าเหตุใดนั้นสถานที่แห่งนี้จึงถูกมีการเรียกหรือถูกขนานนามเซ็นชื่ออย่างในปัจจุบันอย่างไรก็ตามเรามักจะได้ฟังตำนานจากคนแก่ในสมัยโบราณที่เล่าให้ลูกหลานฟังเรื่อยมาว่าสถานที่แต่ละแห่งนั้นมีตำนานเป็นมาอย่างไรบ้างไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเกาะต่างๆซึ่งมักจะมีตำนานเล่าขานบอกถึงที่มาจนกระทั่งกลายมาเป็นเกาะอย่างในปัจจุบันซึ่งวันนี้เราก็จะมาพูดถึงตำนานของพระพุทธรูปองค์หนึ่งชื่อว่าพระขวาง

ซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยในปัจจุบันนั้นพระพุทธรูปพระขวางนี้ถูกนำมาประดิษฐานไว้อยู่ที่วัดพระขวางซึ่งปัจจุบันนี้วัดพระขวางนั้นตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของจังหวัดชุมพรโดยอยู่ตรงบริเวณตำบลขุนกระทิงในเขตอำเภอเมืองอย่างไรก็ตามก่อนที่จะมีพระพุทธรูปพระขวางมาประดิษฐานอยู่ที่วัดแห่งนี้แต่เดิมนั้นวัดแห่งไม่ได้มีพระพุทธรูปองค์นี้

อยู่ว่ากันว่าพระพุทธรูปพระขวางนั้นมีการลอยมาตามน้ำซึ่งมีความเชื่อกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้ลอยมาจากประเทศพม่าและรอยตามน้ำมาเรื่อยๆจนมาติดอยู่ที่บริเวณหน้าวัดร้างแห่งหนึ่งเมื่อชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ว่ามีพระพุทธรูปมาติดขวางอยู่บริเวณหน้าวัดร้างต่างก็พากันนำพระพุทธรูปนั้นขึ้นมาอยู่บนฝั่ง

แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะทำแบบไหนก็ไม่สามารถเอาพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นมาจากฝั่งได้ตกตอนกลางคืนมีชาวบ้านได้ฝันว่าพระพุทธรูปได้มาบอกชาวบ้านว่าหากอยากจะให้ตนเองไปอยู่บนปากนั้นให้ชาวบ้านช่วยกันเตรียมสถานที่ให้เรียบร้อยหลังจากนั้นก็ให้เอาสายสิญจน์ทั้งหมด 7 เส้นแล้วมาพันที่องค์พระพุทธรูปเสร็จแล้วก็จะสามารถนำพระพุทธรูปขึ้นจากน้ำได้เมื่อชาวบ้านตื่นขึ้นมาจึงได้มีการไปพูดคุยปรึกษากันและทำตามที่ในความฝันนั้นจนในที่สุดก็สามารถนำพระพุทธรูปขึ้น

มาจากน้ำได้โดยนำพระพุทธรูปองค์นี้มาไว้ที่วัดที่เป็นวัดร้างนั่นเองซึ่งเนื่องจากว่าพระพุทธรูปองค์นี้ลอยมาขวางอยู่ที่หน้าวัดร้างจึงได้มีการตั้งชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ว่าพระขวางและเนื่องจากว่าวัดแห่งนี้มีพระขวางเป็นพระประจำวัดจึงได้มีการตั้งชื่อวัดว่าวัดพระขวางเพื่อให้สอดคล้องกับตำนานอย่างไรก็ตามชาวบ้านสังเกตเห็นว่าหลังจากที่พระพุทธรูปองค์นี้มาอยู่ที่วัดพระขวางก็มีพระและสามเณรหายไปเรื่อยๆเลย

ไม่มีใครรู้ว่าทั้งพระและเณรนั้นหายไปที่ไหนจนชาวบ้านนั้นเกิดความอยากรู้จึงได้มาแอบดูตรงบริเวณที่ตั้งของพระพุทธรูปในช่วงเวลากลางคืนและพบว่าพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปที่กินพระและกินเณรเข้าไปดังนั้นจึงได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับทางเจ้าอาวาสซึ่งทางด้านเจ้าอาวาสนั้นก็ได้มาทำพิธีด้วยการใช้ยันต์ปิดไฟที่พระพุทธรูปพระขวางและมีการแกะปรอทซึ่งอยู่ด้านภายในองค์พระพุทธรูปออกมาและนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาที่วัดแห่งนี้ก็ไม่มีพระหรือเณรหายไปอีกเลย

 

สนับสนุนโดย  rb88 เข้าสู่ระบบ

เสียงปริศนาในถ้ำสุมณฑา 

       บนเทือกเขาภูพานที่พาดผ่านมายังหมู่บ้านผาสุก ที่อำเภอสามหมอจังหวัดอุดรธานี ได้มีท่านศักดิ์สิทธิ์อยู่ท่านหนึ่งซึ่งชาวบ้านต่างก็พากันเชื่อกันว่าทำดังกล่าวนั้นเป็นที่อยู่ของชาวเมืองลับแล เส้นทางแห่งนั้นก็คือถ้ำสุมณฑานั่นเอง

ซึ่งถ้ำแห่งนี้มีประวัติมาอย่างยาวนานหลายร้อยปีมาแล้วและคนเฒ่าคนแก่นั้นก็ทราบประวัติความเป็นมาของถ้ำแห่งนี้ได้กันเป็นอย่างดีเลยทีเดียว เจอคนเฒ่าคนแก่มีความเชื่อกันว่าภายในถ้ำสุมณฑานั้นจะเป็นถ้ำที่มีประตูมิติที่สามารถเชื่อมต่อระหว่างกาลเวลาได้ โดยมีการเล่าลือกันว่าในช่วงทุกคืนที่เป็นคืนจันทร์เพ็ญนั้นหากใครผ่านมาที่ถ้ำสุมณฑาก็มักจะได้ยินเสียงปริศนาที่เล็ดลอดออกมาจากภายในถ้ำ

ซึ่งหลายคนเชื่อกันว่าภายในถ้ำนั้นน่าจะมีอีกหนึ่งภพภูมิที่อาศัยอยู่และคนธรรมดาทั่วไปจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยสายตาธรรมดาของเรา ซึ่งตามความเชื่อของคนในสมัยโบราณเชื่อว่าคนที่อาศัยอยู่ภายในถ้ำที่เรากำลังพูดถึงนั้นก็คือคนที่อยู่ในเมืองลับแลนั่นเอง สำหรับเรื่องเล่าเมืองลับแลในถ้ำสุมณฑานั้น

คนแก่ได้มีการเล่าถึงเรื่องนี้กันว่าถ้าวันไหนที่เป็นคืนวันเพ็ญมักจะได้ยินเสียงคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานดังเล็ดลอดออกมาจากในถ้ำ ซึ่งภาษาของคนที่คุยกันอยู่ภายในถ้ำนั้นเป็นภาษาที่คนธรรมดาทั่วไปฟังแล้วไม่ค่อยรู้เรื่องอาจจะมีเรื่องบ้างเป็นบางคำแต่ส่วนใหญ่นั้นมักจะฟังไม่ค่อยออกว่าเขาคุยกันว่าอะไรโดยชาวบ้านเชื่อกันว่านั่น

คือภาษาครึ่งเทพครึ่งมนุษย์นั่นเองทำให้หลายคนที่เคยได้ยินเสียงพูดคุยและลอดออกมาจากภายในถ้ำต่างก็พากันหวาดกลัว เลิกบางคนก็ได้ยินเสียงมีการแสดงมหรสพพอได้ยินเสียงดนตรีไม่ว่าจะเป็นเสียงฆ้องหรือเสียงแคนดังแว่วออกมาจากภายในถ้ำ เคยมีคนเข้าไปพิสูจน์ว่าเสียงนั้นมาจากจุดไหนของถ้ำ

เพราะอาจจะเป็นไปได้ว่ามีคนเข้าไปอาศัยอยู่ในถ้ำแต่เมื่อหาเท่าไหร่นั้นก็ไม่หาเจอได้ และบางคนก็ได้หรือว่าในช่วงบางคืนที่มีพระจันทร์เดือนเพ็ญนั้นบางทีก็เห็นเป็นแสงสว่างเล็ดลอดออกจากภายในถ้ำมาแม้ไม่มีใครรู้ว่าแสงนั้นเป็นแสงของอะไรกันแน่ สำหรับความเร้นลับของเรื่องภายในถ้ำสุมณฑานั้น เป็นเรื่องที่เล่าขานกันมากันมานมนาน

และถึงแม้ปัจจุบันนี้ก็ยังมีการพูดถึงความเร้นลับของถ้ำสุมณฑากันอยู่โดยมีการเชื่อกันมากว่าที่นี่คือสถานที่ที่เป็นประตูมิติเพื่อที่จะสามารถเดินทางไปยังเมืองลับแลได้นั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  rb88

ปริศนาภาพโมนาลิซ่าบอกอะไรกับเราบ้าง?

สำหรับเรื่องของภาพปริศนาโมนาลิซ่าที่ได้มีการพูดถึงกันมาอย่างหนาหูมาก คือมันได้เป็นรูปภาพที่ถูกวาดขึ้นมา โดยบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีชื่อว่า Leonardo Da Vinci ซึ่งเราเชื่อว่าหลายๆคนก็น่าจะรู้จักบุคคลคนนี้ ซึ่งนายLeonardo Da Vinci เขาได้เป็นนักสถาปนิก นักศิลปะ นักออกแบบต่างๆนานามากมาย

ที่โด่งดังมากและได้มีการสร้างสรรค์รูปวาดที่สวยงามอยู่ค่อนข้างที่จะเยอะแยะมากมายและหนึ่งใมนนั้นก็ได้มีอยู่หนึ่งรูปภาพที่หลายๆคนได้เกิดความสงสัยและได้รู้สึกว่าภาพนี้มันจะต้องมีอะไรสักอย่างที่อยู่ในนั้นนั้นก็คือ ภาพของโมนาลิซ่า ซึ่งรูปภาพของโมนาลิซ่า ถ้าเราไม่สังเกตอะไรมากเราก็จะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ถูกออกแบบวาดรูปเหมือนคนสมัยก่อน

มีความสวยงามมีน่าตาที่สวยและมีภาพพื้นหลังที่วาดออกมาได้แสดงถึงความเป็นธรรมชาติทั่วไป ซึ่งรูปภาพของโมนาลิซ่าเขาได้คาดการณ์เอาไว้ว่า น่าจะถูกสร้างขึ้นมาเมื่อราวๆปี1500ต้นๆแต่ไม่สามารถระบุได้ตรงๆเลยว่าได้ถูกสร้างขึ้นมาในช่วงเวลาวันไหนและได้มาจากพื้นที่ตรงไหนแบบชัดเจนบอกได้แต่เพียงขอบเขตและได้มีการาตั้งทฤษฎีขึ้นมาเท่านั้น

ซึ่งในปัจจุบันรูปภาพของโมนาลิซ่าก็ได้ถูกเก็บเอาไว้ที่ The Grove Museum และก็ยังได้ถูกตั้งโชว์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามารับชมและก็ถ่ายรูปนั่นเองและ ทฤษฎีเรื่องของภาพโมนาลิซ่า ต่างจริงๆมันมีอยู่เป็นสิบเป็นร้อยทฤษฎีแต่ว่ามันจะมีอยู่สามทฤษฎีใหญ่ๆที่น่าสนใจและเราคิดว่ามันนาจะเป็นไปได้มากที่สุด

โดยเราจะเรียงเป็นทฤษฎีไป โดยทฤษฎีแรก ตอนแรกได้ถูกตีตกไปว่ามันไม่น่าจะเป็นความจริงแต่ในปัจจุบันก็ยังได้มีนักวิทยาศาสตร์หรือนักประวัติศาสตร์ยังได้เชื่อกันอยู่ไม่น้อยว่าทฤษฎีเหล่านี้จะเป็นจริงนั่นก็คือคนที่อยู่ในภาพไม่ใช่โมนาลิซ่าแต่เป็นลูกสาวของผู้ปกครองเมืองLudovico Sforza,Milanในตอนนั้นที่มีชื่อว่า Bianca Sforza

โดยเขาได้คาดการณ์กันว่า Bianca Sforzaนั้นได้เสียชีวิตลงหลังจากที่ได้แต่งงานกับผู้บันชาการกองทัพได้ไม่นานและตอนนั้น Bianca Sforzaเขาก็ได้ตั้งครรภ์แต่ปรากฎว่าในการตั้งครรภ์ของ Bianca Sforzaได้เป็นการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติก็คือการตั้งครรภ์นอกมดลูกมันเลยทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมาLeonardo Da Vinciก็ได้วาดรูปนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นตัวแทนของ Bianca Sforza ซึ่งตรงนี้ได้เป็นแนวคิดในทฤษฎีแรกที่เขาได้บอกว่าคนที่อยู่ในรูปไม่ได้ชื่อว่าโมนาลิซ่าหรือ ลิซ่าแต่อย่างใดแต่ชื่อว่า Bianca Sforzaนั่นเอง

 

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน แทงขั้นต่ํา10บาท

การคืนชีพสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์

สำหรับตรงนี้เราคิดว่ามันได้มีความน่าสนใจในระดับหนึ่ง ถ้ามันสามารถคืนชีพสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้จริงๆเราบอกเลยว่ามันคือการประสบความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ โดยเขาได้บอกว่าตามหลักทฤษฎีเวลาที่เราได้ไปขุดค้นพบฟอสซิลต่างๆทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นฟอสซิลที่ย่อยสลายแล้วเหลือแต่กระดูกหรือจะเป็นฟอสซิลที่ถูกแต่แข็งและได้มีความใกล้เคียงความสมบูรณ์มากที่สุด

เขาจะนำเอาฟอสซิลเหล่านี้นำเอามาสกัดดีเอ็นเอและนำดีเอ็นเอเหล่านั้นมาใส่ในสัตว์สายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่มีชีวิตในยุคนั้นมากที่สุดถ้ายกตัวอย่างเช่นเมื่อประมาณ2-3ปีที่แล้วได้มีการขุดค้นพบเป็นฟอสซิลช้างแมมมอธในแทบขั้วโลกที่มีสภาพใกล้เคียงคำว่าสมบูรณ์มากแต่การทดลองครั้งนี้ตามบันทึกเขาได้บอกเอาไว้ว่ายังไม่มีการทดลองไหนที่จะประสบความสำเร็จเลย

ก็คือว่าได้มีการทดลองไปแล้วและล้มเหลวนั่นเองและคำว่าล้มเหลวนั้นมันก็ได้มีผลเสียตามมาจากกรณีที่ฝากครรภ์ใส่สิ่งมีชีวิตในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นเสือเขี้ยวดาบช้างแมมมอธหรือสัตว์ชนิดอื่นๆที่เขาได้มีการทดลองเขาได้บอกว่าร่างกายของสัตว์ในยุคปัจจุบันมันไม่สามารถที่จะอุ่มท้องสิ่งมีชีวิตยุคดึกดำบรรพ์ได้นานพอที่จะคลอดพวกเขาออกมาได้และผลที่ตามมาสัตว์ที่ถูกไปเป็นแม่เพื่อตั้งท้องก็ตายลง

เพราะว่าร่างกายไม่สามารถรับภาระในการตั้งครรภ์ในขณะนั้นได้และเขาได้บอกอีกว่ามันได้มีผลข้างเคียงหลายอย่างไม่ใช่แค่ตั้งท้องไม่ไหวทั้งเรื่องของสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงฉับพลันเพราะมีการยัดเซลล์สิ่งมีชีวิตในยุคดึกดำบรรพ์เข้าไปแล้วร่างกายมันเกิดการต่อต้านต่างๆนานามากมายตรงนี้มันก็เลยทำให้สิ่งมีชีวิตที่ถูกนำมาเป็นแม่รับภาระไม่ไหวแล้ว

ก็ต้องเสียชีวิตลงตรงนี้เขาได้บอกว่ามีการทดลองหลายครั้งแล้วก็ล้มเหลวมาทุกครั้งกันเลยและเขายังได้บอกอีกว่าตรงจุดนี้เขาก็ได้มีการศึกษาแล้วก็ได้มีการทดลองอยู่เรื่อยๆเพราะว่าอยากจะคืนชีพสิ่งมีชีวิตยุคโบราณแต่ในมุมมองของเรา เรามองว่าการคืนชีพสิ่งมีชีวิตยุคโบราณหรือการคืนชีพมนุษย์ไม่ใช่ผลดีต่อโลกสักเท่าไหร่เพราะถ้าเกิดว่าเรามองเป็นกรณีๆอย่างกรณีของการคืนชีพมนุษย์เรา

เคยตั้งข้อสงสัยว่าถ้าวันหนึ่งเราสามารถควบคุมการเกิดและการตายได้มันจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งหลายๆคนก็ได้ให้ความเห็นตรงกันเลยว่าถ้าเราสามารถควบคุมการตายการเกิดได้มันอาจจะทำให้ประชากรบนโลกของเรามีจำนวนเกินหรือประชากรล้นโลกนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน ฝากถอนไว

มนุษย์เข้ามาอยู่บนโลกได้อย่างไร?

ในโลกปัจจุบันของเรามันมีอะไรที่มากขึ้นๆไปเรื่อยๆถ้าจะให้ตอบตามความคิดแล้วก็ในมุมมองของเรานั่นก็คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งตรงจุดนี้เราก็ได้คุยกันเล่นๆว่ามันอาจจะเป็นผลผลิตที่คนที่สร้างเราขึ้นมาหรือคนที่เอาพวกเรามาไว้ข้างบนโลกเขาจะเข้ามาเอาผลผลิตตรงนี้ในอนาคตไปหรือเปล่า หรือ ผลผลิตตรงนี้มันจะเป็นอย่างอื่นก็เป็นได้

เพราะว่าตรงจุดนี้ถ้าเราจำไม่ผิดคนที่ได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกคนที่มีไฮคิวสูงๆเขาได้บอกว่าคนจริงๆพวกนี้เขาได้เสียชีวิตไปแล้วแต่มันก็ยังได้มีการเก็บเอาไว้เป็นความลับนั่นก็คือเขาเหล่านี้ได้ถูกเก็บสมองเอาไว้และเขาได้บอกเอาไว้ว่าในอนาคตเขาจะเอาสมองของบุคคลเหล่านั้น

มาโคลนนิ่งเราอาจจะได้เห็น ไอน์สไตน์ในอนาคตหรือเราอาจจะได้เห็นนักวิทยาศาสตร์ดังๆที่เขาได้เสียชีวิตไปแล้วในอนาคตมันก็อาจจะเป็นไปได้ ซึ่งตรงนี้เราก็ไม่ค่อยชัวเท่าไหร่เพราะเราได้ไปหาข้อมูลจากต่างประเทศมาแล้วเราก็เลยคิดว่ามันก็อาจจะเป็นไปได้ ซึ่งตรงนี้มันก็อาจจะเป็นผลผลิตหรือเปล่าอันนี้เราก็ไม่ชัวเหมือนกัน

แต่ในมุมมองของเรา เราได้คิดว่าโลกของเรามันก็เหมือนฟามร์ ซึ่งมันอาจจะมีมือที่เรามองไม่เห็นหรือมันอาจจะมีพระเจ้าที่เราได้พูดกันมันอาจจะสร้างเราขึ้นมาเพื่อได้อาศัยอยู่บนโลกและได้มีการวิวัฒนาการตัวเองจนถึงจุดๆหนึ่งเขาอาจจะเข้ามาเก็บเกี่ยวผลผลิตหรือเปล่า ตรงนี้มันก็อาจะเป็นอีกหนึ่งทฤษฎีที่มันจะเป็นไปได้แล้ว

มันก็ได้มีนักวิทยาศาสตร์หลายๆคนก็มีทฤษฎีนี้อยู่ในหัวอยู่เหมือนกัน และ ทฤษฎีสุดท้ายนี้ที่มันได้มีความเชื่อถือค่อนข้างต่ำแต่มันก็ได้มีคนเชื่อกันอยู่และมีหลายๆคนได้เชื่อกันว่ามันก็อาจจะเป็นไปได้นั่นก็คือ บรรพบุรุษของมนุษย์โลกเราได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มันได้มาจากกาแลกซี่อื่นและได้เป็นนักโทษที่ถูกขับไล่ให้มาอยู่บนโลกพร้อมกับลบความทรงจำคือทฤษฎีตรงนี้

ที่เราได้ไปศึกษามามันอาจจะดูงมงายและมันได้มีความเป็นจริงที่น้อยมากแต่เราพอลองไล่อ่านลองเจาะลึกลงไปเรื่อยๆมันก็อาจจะเป็นไปได้หรือเปล่าคือทฤษฎีตรงนี้เขาได้บอกว่าจริงๆแล้วโลกของเราในยุคนั้นมันไม่ได้มีสายพันธุ์มนุษย์อยู่เลยแต่มันได้มีสิ่งมีชีวิตมีแบคทีเรียมีสัตว์มีลิงแต่มันไม่มีมนุษย์อยู่บนโลกซึ่งอยู่ดีๆวันหนึ่งกก็ได้มีนักโทษจากกาแลกซี่อื่นถูกขับไล่ให้มาอยู่บนโลกและมาใช้ชีวิตอยู่บนโลกโดยที่ไม่มีเทคโนโลยีอะไรเลย

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน แจกเครดิตฟรี ไม่ต้องฝาก

ตำนานสวนเอเดนงูร้ายและแอปเปิ้ล

       คำสาปอดัมกับอีฟนับเป็นคำสาบแรกตั้งแต่พระเจ้าเริ่มสร้างโลกขึ้นมา ซึ่งเรื่องราวของอดัมกับอีฟนั้นมีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลตอนหนึ่งของศาสนาคริสต์ ซึ่งรายละเอียดของอดัมกับอีฟนั้นเราพอจะทราบกันคร่าวๆอยู่แล้วว่าพระเจ้านั้นได้ทรงสร้างชายหญิงคู่หนึ่งขึ้นมาโดยฝ่ายชายนั้นชื่ออดัมส่วนฝ่ายหญิงนั้นชื่ออีฟซึ่งการสร้างนั้นพระเจ้าได้มีการเสกอดัมซึ่งเป็นผู้ชายขึ้นมาก่อนหลังจากที่ได้มีการสร้างอดัมขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว

จึงได้มีการนำซี่โครงบางส่วนของอดัมนั้นมาเสกเป็นผู้หญิงที่ชื่อว่าอีฟ จากที่ได้มนุษย์คู่หนึ่งขึ้นมาเป็นอดัมกับอีฟแล้วพระเจ้าก็ได้มีการส่งทั้งอดัมและอีฟนั้นไปอยู่ที่สวนแห่งหนึ่งซึ่งเราเรียกสวนสวรรค์แห่งนั้นว่าสวนเอเดนโดยพระเจ้าได้มีการสั่งทั้งอดัมและอีฟว่าพวกเขาสามารถอยู่ในส่วนนี้และสามารถที่จะหยิบจับกินอะไรก็ได้ในส่วนนี้ทั้งหมดยกเว้นแอปเปิลซึ่งเป็นผลไม้แห่งความรู้

หลังจากที่พระเจ้าส่งอดัมและอีฟมาอยู่ที่สวนเอเดนนั้นพวกเขาก็ทำตามกฎระเบียบที่พระเจ้าสั่งอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอดและพวกเขาก็อยู่ที่สวนเอเดนนั้นอย่างสงบสุขเรื่อยมา แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นจนได้เมื่อวันหนึ่งมีงูโดเรตัวหนึ่งเลื้อยมาหาเอฟและมันได้มีการชักชวนให้อีฟนั้นลองกินแอปเปิ้ล และไม่เพียงแค่ให้อีฟกินแอปเปิ้ลเท่านั้นมันยังแนะนำให้อีฟนั้นชวนอดัมมากินแอปเปิ้ลด้วยกันอีกด้วย และเมื่อพระเจ้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นพระเจ้าจึงได้ทำโทษงูตัวนั้นด้วยการให้มันนั้นเลื้อยไปกับพื้นด้วย

การนำท้องไถลไปกับพื้นดิน ส่วนอีฟนั้น พระเจ้าได้สาปให้เธอนั้นมีบุตรและจะต้องมีการคลอดบุตรออกมาด้วยความเจ็บปวดและทรมาน ส่วนทางด้านอดัมนั้นซึ่งเป็นฝ่ายชายพระเจ้าได้มีการสาปให้อดัมนั้นมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลครอบครัวและหาเลี้ยงครอบครัวไปจนตลอดชีวิต และตำนานความเชื่อนี้เองที่มีการระบุเอาไว้ว่าบรรพบุรุษของมนุษย์เรานั้นก็คืออดัมและอีฟและที่มนุษย์โลกนั้น

ต้องมีพฤติกรรมแบบนี้ก็เพราะว่าอดัมและอีฟนั้นถูกลงโทษเพราะฉะนั้นผลของการสาปของพระเจ้าที่มีต่ออดัมและอีฟจึงตกมาสู่ลูกหลานอย่างพวกเราเป็นรุ่นต่อรุ่นซึ่งในปัจจุบันเราก็จะเห็นได้ว่าผู้หญิงนั้นก็มักจะต้องคลอดลูกด้วยความเจ็บปวดทรมานก่อนลูกจะคลอดออกมาส่วนผู้ชายนั้นก็จะมีหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัวทำงานตั้งแต่แต่งงานจนถึงเสียชีวิตเลยทีเดียวและคำสาปจะยังคงอยู่แบบนี้ตลอดไป 

 

 

สนับสนุนโดย  sagame666

ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน

ตำนานความรักที่เป็นสาเหตุให้ต้องตายที่ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน

เชื่อว่าไม่มีใครคนไหนในประเทศไทยที่ไม่รู่จักสถานที่อันโด่งดังไปทั่วประเทศนั้นก็คือ……. “ ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน” ถ้าใครยังจำไม่ได้ก็จะตองจำได้หากหนึ่งถึงนักเตะบอลทีมหมูป่าที่ได้เผลอเข้าไปในที่แห่งนี้แหละออกมาไม่ได้อยู่หลายวัน แต่เมื่อมีเจาหน้าที่จุดทูบและลองเข้าไปตรวจหาคนในถ้ำอีกครั้งก็พบกลุ่มนักฟุตบอลในที่สุด

ซึ้งนั้นทำให้สถานที่นี้ยิ่งโด่งดังเข้าไปใหญ่จนแม้แต่คนต่างประเทศก็รู้จักที่นี้เป็นอย่างดี โดยที่นี้นั้นมีตำนานที่เล่าลือกันมานานมากแต่ตั้งที่ภูเขานี้ถูกค้นพบและตีตราว่ามีรูปร่างเหมือนกับหญิงสาวกำลังนอนอยู่ที่พื้น โดยหลังจากที่มีการถูกตรีตราว่าภูเขาลูกนี้มีหน้าตาเหมือนกับหญิงสาวนั้น ก็ได้ยินมีคนเฒ่าคนแก่หลายๆคนออกมาบอกถึงตำนานที่ตัวเอง

บอกว่าเคยได้ยินมานานตั้งแต่สมัยรุ่นปู่รุ่นทวดว่าทำไมถึงมีภูเขาที่หน้าตาคล้ายกับหญิงสาวเช่นนี้โดยวันนี้ที่เราพูดถึงเรื่องนี้ก็เพราะว่าเราจะมาเล่าถึงตำนานที่ถูกกล่าวขานกันมาตั้งนานแล้วด้วยตำนานที่ว่านั้นจะมีความน่าสนใจมากแค่ไหนและเรื่องราวเป็นมายังไงจึงทำให้มีภูเขาแบบนี้เดี๋ยวเราไปฟังไปพร้อมๆกันเลยค่ะ

เรื่องราวนั้นมีอยู่ว่ามีองค์หญิงคนหนึ่งนั้นเป็นผู้หญิงที่มีความสวยงามเป็นอย่างมากโดยเธอเองนั้นก็มีชื่อเสียงเลื่องลือเรื่องของความงามของเธอโดยชื่อสิ่งที่ถูกแพร่สะพัดไปทั่วและก็มีเจ้าชายจดมึงหลายๆเมืองที่เข้ามาขอเธอแต่งงานแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธออยากแต่งงานกับใครเลยแม้ว่าจะมีหนุ่มหล่อมากมายหรือมีหนุ่มหล่อที่มากความสามารถมาจากมุมไหนก็ตามเธอก็ไม่สนใจ

เพราะว่าเธอนั้นมีชายที่รักอยู่แล้วโดยใช้คนนั้นก็คือท่านแม่ทัพคนนึงที่เธอนั้นหลงรักเขามาตั้งแต่เด็กโดยท่านพ่อของเธอเองก็เห็นด้วยกับเรื่องที่พวกเขานั้นจะแต่งงานด้วยกันตอนเด็กๆทั้งสองนั้นสัญญาแต่งงานกันแล้วฝ่ายชายก็ตอบตกลงพ่อโตขึ้นหญิงสาวอายุประมาณ 27 ปีเธอบอกว่าในเช้าวันต่อมาจะเริ่มจัดงานแต่งงานทันที

ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็มีการทำหน้าที่สีหน้าตกใจแต่เมื่อหญิงสาวถามว่าเป็นอะไรก็ตอบเพียงแค่ว่าเขาแค่ตื่นเต้นเท่านั้นโดยเธอก็ไม่ได้สนใจอะไรและคิดว่าเขาก็รักเธออย่างจริงใจเธอจึงรีบกลับห้องไปเตรียมงานให้เรียบร้อยแต่เมื่อถึงเวลาที่เจ้าบ่าวจะเข้ามาในงานแต่งงานทุกคนกลับพบว่าเจ้าบ่าวนั้นหายตัวไปอย่างหนาแน่นทำให้องค์หญิงเสียใจเป็นอย่างไร

บ้างเธอพยายามตามหาเจ้าชายไปทั่วประเทศจนไปถึงเมืองแห่งหนึ่งโดยมีชื่อว่าเมืองเวียงจันทน์เธอพบกับชายชราคนนึงเธอจึงเข้าไปนำอาหารและน้ำมาให้เขาทานหลังจากที่ตาแก่คนนั้นได้ทำการกินอาหารและน้ำจนอิ่มองค์หญิงก็ถามเขาว่าเขารู้จักชายหนุ่มคนนั้นหรือไม่โดยเธอนั้นก็เล่าถึงรายละเอียดของคนที่กำลังจะแต่งงานกับเธอไป

ซึ่งก็คือท่านแม่ทัพโดยตาแก่คนนั้นก็ได้บอกว่าเท่านั้นรู้จักเลยอย่างดีเพราะว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นคนที่มักจะให้เงินเขาเวลาเขาไปขอเงินแล้วชายหนุ่มคนนี้นั้นกำลังจะแต่งงานกับหญิงสาวที่สวยที่สุดในหมู่บ้านเมื่อถึงได้ยินดังนั้นจึงเสียใจและหลังจากนั้นก็ปลอมตัวเป็นชาวสวนลองเดินทางเข้าไปใกล้บ้านใกล้จุดที่จัดงานซึ่งเธอก็พบว่าชายหนุ่มที่กำลังจะแต่งงานกับหญิงสาวสุดสวยงั้น

ก็คือท่านแม่ทัพคนที่เธอหลงรักและคิดจะแต่งงานด้วยนั่นเองนั่นทำให้เธอเสียใจมากเธอเพิ่งรู้ว่าที่เขาหายไปนั้นไม่ใช่เพราะว่าเขาถูกจับตัวไปหรือเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นกับเขาแต่เขาหนีมากับหญิงสาวที่มุมเวียงจันทน์และมาแต่งงานด้วยกันทำให้เธอเสียใจนอนหลับน้ำตารินไหลตลอดเวลาจนสุดท้ายก็ตามใจตายด้วยความเสียใจที่เหมือนถูกความรักหักหลัง 

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  บา คา ร่า sagame